WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

 'รับสร้างบ้าน'จบไตรมาสสองสร้างบ้านฟื้นชีพ

    บ้านเมือง : นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้านชี้ไตรมาสสอง ลูกค้าควักตังค์กล้าปลูกบ้านหลังการเมืองปลดล็อก ฟื้นกำลังซื้อในรอบ 9 เดือน ระบุครึ่งปีหลังคาดราคาบ้านปรับตัวขึ้นแน่ ยันธุรกิจรับสร้างบ้านครึ่งปีจะมีมูลค่าทั้งสิ้น 8 พันล้าน

   นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน (THBA) ประเมินภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 2 พบว่า ปริมาณความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่และกำลังซื้ออยู่ในภาวะทรงตัว หรือเติบโตเพียงแค่ร้อยละ 2 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้ โดยเมื่อสำรวจข้อมูลแยกตามภูมิภาคก็พบว่า มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านภาคกลางมีการขยายตัวมากที่สุด รองลงมาเป็นภาคอีสาน ภาคเหนือ ขณะที่มูลค่าตลาดภาคใต้และกรุงเทพฯ ชะลอตัวหรือขยายตัวอยู่ในอันดับรั้งท้ายเช่นเดียวกับไตรมาสแรก

     อย่างไรก็ดี ในช่วงท้ายไตรมาส 2 พบว่าปริมาณและมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เริ่มปรับตัวได้ดีกว่าในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.) ทั้งนี้ อาจเป็นไปได้ว่าผู้บริโภคเริ่มคลายกังวล กับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและถือว่าตลาดเริ่มมีสัญญาณบวกที่ดี กอปรกับผู้ประกอบการเองก็เริ่มโหมกิจกรรมทางการตลาด ทั้งลดทั้งแถมในช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส 2 จึงทำให้สามารถกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา

    "ภาพรวมของการแข่งขันของกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำหรือกลุ่ม Top 5 สมาคมฯ พบว่ามีการใช้สื่อโฆษณาสิ่งพิมพ์ ทีวี สื่อกลางแจ้งและสื่อออนไลน์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาสสอง สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการรับสร้างบ้านกลุ่มผู้นำก็มีความเชื่อมั่นมากขึ้น จึงเริ่มจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อกระตุ้นการรับรู้กับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายก่อนคู่แข่งรายอื่นๆ ในขณะที่ภาพรวมบรรยากาศการแข่งขันของ ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านรายเล็กรายกลางทั่วๆ ไปยังดูซึมๆ"

    นอกจากนี้ สมาคมฯ ประเมินมูลค่าตลาด "บ้านสร้างเอง" ทั่วประเทศในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา เฉพาะกลุ่มระดับราคาค่าก่อสร้างหน่วยละ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป คาดว่ามีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 3-3.5 หมื่นล้านบาท โดยประเมินว่าตลาดรับสร้างบ้านหรือ "กลุ่มบริษัทรับสร้างบ้าน" ที่เป็นมืออาชีพและแข่งขัน

    อยู่ในธุรกิจนี้จำนวนกว่า 120 รายทั่วประเทศ น่าจะมีแชร์ส่วนแบ่งครึ่งปีแรกประมาณร้อยละ 20 หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 6-7 พันล้านบาท โดยส่วนแบ่งตลาดอีกร้อยละ 80 ยังตกเป็นของผู้รับเหมาท้องถิ่นและผู้รับเหมารายย่อยทั่วไป เหตุผลก็เพราะว่า ผู้บริโภคสะดวกที่จะติดต่อและใช้บริการกับผู้รับเหมาที่อยู่ในพื้นที่มากกว่า ทั้งนี้เพราะว่าผู้ประกอบการสร้างบ้านจำนวนกว่าร้อยละ 60 หรือประมาณ 70-80 ราย มีสำนักงานตั้งอยู่เฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถขยายการให้บริการสร้างบ้านในพื้นที่ต่างจังหวัดได้ ในขณะที่อีก 70 จังหวัดทั่วประเทศ (นอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล) มีบริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพเปิดดำเนินการในสัดส่วนที่น้อยกว่าหรือเพียง 40-50 รายเท่านั้น

    ข้อมูลดังกล่าว จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ขนาดตลาด 'รับสร้างบ้าน'ไม่เติบโตเท่าที่ควร ดังนั้น ภารกิจหลักของสมาคมฯ ก็คือ การมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งรายเดิมและรายใหม่ ให้สามารถขยายบริการรับสร้างบ้านออกไปในต่างจังหวัดหรือครอบคลุมทั่วประเทศมากที่สุด เพื่อจะผลักดันให้มูลค่าตลาดรวมรับสร้างบ้านขยายและเติบโตกว่าที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะก่อนที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี (Asean Economic Community : AEC)

    ทั้งนี้ จากภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในช่วงท้ายไตรมาส 2 ที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวและผู้ประกอบการเองก็มีความเชื่อมั่นที่จะรุกทำการตลาดมากขึ้น กอปรกับสถานการณ์ทางการเมืองก็อยู่ในความสงบและยังไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จึงเชื่อได้ว่าจะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายกลับสู่ภาวะปกติ ฉะนั้น กำลังซื้อหรือความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ ในช่วงครึ่งปีหลังก็น่าจะกลับมาเติบโตได้ดี ด้วยเหตุผลคือ 1.กำลังซื้อของผู้บริโภคส่วนหนึ่งที่อั้นมานาน 2.ผู้ประกอบการเร่งทำกิจกรรมการตลาดกระตุ้นกำลังซื้อกันมากขึ้น 3.วัสดุก่อสร้างและราคาบ้านยังไม่มีการปรับราคาในครึ่งปีหลัง

   ทั้งนี้ ทั้ง 3 ปัจจัยถือเป็นโอกาสดีทั้งของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดในรอบ 9 เดือน ก่อนที่ต้นทุนก่อสร้างและราคาบ้านคาดว่าจะมีการปรับราคาขึ้นอีกครั้ง เมื่อภาพรวมงานก่อสร้างอาคารและสาธารณูปโภคต่างๆ ของภาครัฐและเอกชนจะกลับมาขยายตัวอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้า โดยสมาคมฯ ประเมินว่าตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 7-8 พันล้านบาท

   นายสิทธิพร ให้ความเห็นต่อว่า ยังมีปัจจัยลบที่กลุ่มผู้ประกอบการหรือบริษัทรับสร้างบ้านต้องแบกรับความเสี่ยงอยู่คือ ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการแต่ละรายรับงานสร้างบ้านได้จำนวนจำกัด เพราะมิฉะนั้นจะเผชิญกับปัญหางานก่อสร้างล่าช้าและผิดสัญญากับลูกค้า อย่างไรก็ดี จะเห็นว่ามีการปรับตัวของผู้ประกอบการในธุรกิจรับสร้างบ้านในระยะ 1-2 ปีนี้ และจะเป็นจุดเริ่มต้นหรือเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงทิศทางการแข่งขันในอนาคตว่า "ธุรกิจรับสร้างบ้านหรืออุตสาหกรรมบริการสร้างบ้าน "ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็น SMEs มีแนวโน้มจะเปลี่ยนสู่ "อุตสาหกรรมการผลิตบ้าน" ที่แข่งขันและครองตลาดโดยผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้ก็เป็นได้ ด้วยเพราะประเทศไทยเราประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานหนักขึ้นเรื่อยๆ เฉกเช่นเดียวกับประเทศที่กำลังพัฒนาและพัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศที่เคยเผชิญปัญหามาก่อนหน้านี้

  ดังจะเห็นว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการรับสร้างบ้านชั้นนำหรือรายใหญ่ เริ่มหันมาพัฒนาระบบการก่อสร้างบ้านโครงสร้างสำเร็จรูปหรือพรีคาสท์มากขึ้น ซึ่งมีทั้งตั้งโรงงานผลิตเองและจับมือกับพันธมิตรธุรกิจร่วมกันผลิตขึ้นมา ทั้งนี้เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานจำนวนมาก ขณะที่รายเล็กรายกลางที่ไม่สามารถพัฒนาสู่ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปได้ ก็จำเป็นต้องลดปริมาณรับงานสร้างบ้านให้น้อยลง แต่จะหันมาเจาะกลุ่มตลาดที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น เช่น เน้นดีไซน์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความต้องการเฉพาะ เน้นการสร้างบ้านหลังใหญ่มากขึ้น ฯลฯ เป็นต้น

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!