- Details
- Category: อสังหาริมทรัพย์ฯ
- Published: Friday, 25 March 2016 23:50
- Hits: 4851
แสนสิริเผยแผนเปิด 10 โครงการแนวราบปี 2559 มูลค่ารวม 15,000 ลบ. เน้นโครงการระดับบน และรุกต่อยอดทำเลรังสิต-ลำลูกกา-พัฒนาการ ตั้งเป้ายอดขายโครงการแนวราบ 14,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30%
แสนสิริเผยแผนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบในปี 2559 เปิด 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท เน้นทำเลกรุงเทพฯ และรุกต่อยอดในทำเลที่เคยพัฒนามาก่อนและได้รับการตอบรับที่ดี อาทิ รังสิต – ลำลูกกาและพัฒนาการ วางแผนพัฒนาโครงการระดับบนต่อเนื่องทั้งแบรนด์เศรษฐสิริ และ บุราสิริพร้อมต่อยอดเปิดแบรนด์สราญสิริและคณาสิริรองรับความต้องการลูกค้า ไตรมาสแรกเปิดตัว 3 โครงการใหม่ ‘เศรษฐสิริ วงแหวน-ลำลูกกา-‘ มูลค่าโครงการ 2,300 ลบ. ‘บุราสิริ รังสิต’มูลค่าโครงการ 1,940 ล้านบาท และจ่อคิวเปิดตัว ‘เศรษฐสิริ พัฒนากา’มูลค่าโครงการ 3,100 ล้านบาท ในช่วงปลายเดือนมี.ค. นี้ ตั้งเป้ายอดขายรวมโครงการแนวราบปี 2559 ประมาณ 14,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30%
นายเมธา อังวัฒนพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2559 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ โครงการใหม่ประมาณ 10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวประมาณ 7 โครงการ และโครงการทาวน์เฮาส์อีก 3 โครงการ โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทจะเปิดตัว 3 โครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ได้แก่ บ้านเดี่ยวทำเลกรุงเทพฯ โซนรังสิต – ลำลูกกา’โครงการเศรษฐสิริ วงแหวน ขลำลูกกา’ มูลค่ารวมโครงการ 2,300 ล้านบาท หลังจากโครงการคณาสิริ วงแหวน-ลำลูกกา บ้านเดี่ยวระดับราคา 3.69 – 6 ล้านบาทที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ได้รับการตอบรับที่ดี นอกจากนี้ล่าสุด บริษัทยังได้เปิดตัวบ้านเดี่ยวในโครงการ “บุราสิริ รังสิต” มูลค่าโครงการ 1,940 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกัน รวมทั้งบริษัทยังได้เตรียมเปิดตัวโครงการ “เศรษฐสิริ พัฒนาการ” มูลค่าโครงการ 3,100 ล้านบาท ในช่วงประมาณปลายเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งนับเป็นการรุกต่อยอดในทำเลที่บริษัทเคยพัฒนาโครงการมาแล้วและได้รับการตอบรับที่ดีเพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าแสนสิริให้ครอบคลุมในทำเลที่มีโอกาสเติบโตสูง
“ปีที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกระดับราคา โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์นาราสิริและเศรษฐสิริ โดยล่าสุดบ้านเดี่ยวในโครงการนาราสิริ บางนา ใกล้ปิดการขายในเร็วๆ นี้ สำหรับแนวทางการพัฒนาโครงการแนวราบในปี 2559 บริษัทจะยังนำเสนอโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ 100% เพื่อตอบรับความต้องการเข้าอยู่อาศัยได้ทันทีซึ่งจะส่งผลต่อการรับรู้รายได้ที่รวดเร็วอีกด้วย รวมทั้งจะมีกลยุทธ์การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยที่ครอบคลุมเกือบทุกระดับราคาเพื่อตอบรับทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้บริษัทเตรียมเปิดตัวบ้านเดี่ยวที่ครอบคลุมแบรนด์ที่อยู่อาศัยแนวราบ ทั้งเศรษฐสิริ – บุราสิริ – สราญสิริ – คณาสิริ รวมถึงทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ ทาวน์ อเวนิว รวมทั้งจะมีการต่อยอดเปิดโครงการแนวราบในตลาดต่างจังหวัดที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงจากคนที่อยู่อาศัยและทำงานในพื้นที่ เช่น ภูเก็ต เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายสำหรับโครงการแนวราบในปีนี้ประมาณ 14,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 58 ซึ่งมียอดขาย 11,000 ล้านบาทประมาณ 30%” นายเมธา กล่าว
สำหรับ ภาพรวมสถานการณ์บ้านเดี่ยวครึ่งปีแรก 2559 คาดว่าอุปทานจะเพิ่มขึ้น โดยมี ปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐโดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ผ่านการลดค่าธรรมเนียมการ โอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองเหลือร้อยละ 0.01 ซึ่งเป็นตัวเร่งที่ส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้รวดเร็วขึ้น ในขณะที่ราคาบ้านในปีนี้คาดว่าจะยังทรงตัวไม่มีการขยับราคาขาย เนื่องจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่ถูกลงตามการปรับราคาน้ำมัน ขณะที่ค่าแรงงานและค่าที่ดินยังคงที่ยังคงมีราคาสูง จึงคาดว่าในปีหน้าภาพรวมราคาบ้านอาจจะมีการขยับราคาเพิ่มขึ้น สำหรับอุปทานบ้านเดี่ยวจำนวน 11,404 ยูนิต คาดว่าอุปสงค์ต้องใช้เวลาดูดซับประมาณ 9 เดือน โดยอาศัยการเติบโตของระบบเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนให้อุปสงค์ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยการสำรวจเบื้องต้นพบอุปทานใหม่เตรียมเข้าสู่ตลาดในช่วงครึ่งปีแรก 2559 อีกไม่น้อยกว่า 6,000 ยูนิต คาดว่าจะให้น้ำหนักการลงทุนไปที่สินค้าระดับกลาง-บน ราคา ตั้งแต่ 5.00-9.99 ล้านบาทมากขึ้น สำหรับภาพรวมตลาดทาวน์เฮาส์ มองว่า หากภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านรถไฟฟ้าในเส้นทางต่างๆ มีความคืบหน้ามากยิ่งขึ้น อาจส่งผลให้ปริมาณอุปทานและ อุปสงค์ในตลาดทาวน์เฮาส์ ช่วงครึ่งปีแรก 2559 เติบโตสูงขึ้นได้ โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ในกลุ่มราคา 1.00-4.99 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถดูดซับอุปทานคงค้างในตลาดกว่า 13,000 ยูนิต ได้ภายในระยะเวลา 7 เดือน