- Details
- Category: อสังหาริมทรัพย์ฯ
- Published: Monday, 07 September 2015 22:17
- Hits: 2108
บลูสโคป รุกแผนขยายตลาดอุตสาหกรรม ตลาดค้าปลีกในไทย เจาะโรงงานเอสเอ็มอี ที่พักอาศัย รองรับการเติบโตของตลาดก่อสร้าง และพร้อมขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า เน้นผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริการครบวงจร
'เอ็นเอส บลูสโคป' เผยภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างเติบโต เตรียมผลักดันแผนขยายตลาดสู่กลุ่มโรงงานเอสเอ็มอี ที่พักอาศัย โดยชูกลยุทธ์ขยายสาขาบลูสโคปออโธไรซ์ ดีลเลอร์ (BlueScope Authorized Dealer) ศูนย์ตัวแทนจำหน่ายสินค้าและบริการครบวงจรเพื่อเจาะตลาดค้าปลีกในภูมิภาค พร้อมเปิดตัวบลูสโคป แซคส์® คูล (BLUESCOPE Zacs® Cool) นวัตกรรมหลังคาเหล็กที่ช่วยทำให้บ้านและอาคารเย็นขึ้น รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเทคโนโลยีเหล็กเคลือบ ซูเปอร์ ไดม่า® (SuperDyma®) ชูคุณสมบัติต้านทานการกัดกร่อนสูง และเทคโนโลยีการเคลือบสี VIEWKOTE™ สำหรับงานเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังเดินหน้าศูนย์ฝึกอบรมบลูสโคป (BlueScope Training Center) จัดอบรมให้ทีมช่างและผู้รับเหมาก่อสร้างทั้งที่โรงงานมาบตาพุดและทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย
นายสมเกียรติ ปินตาธรรม ประธาน บริษัท เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดก่อสร้างไทยมีทิศทางขยายตัวดีขึ้น เนื่องจากการลงทุนพัฒนาระบบขนส่งขนาดใหญ่และโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐ ประกอบกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปลายปีนี้ที่เป็นปัจจัยกระตุ้นให้แต่ละประเทศในภูมิภาคต้องเร่งดำเนินโครงการก่อสร้างเพื่อพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน รวมทั้งการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราการบริโภคเหล็กเคลือบในประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวตามไปด้วย แม้จะเกิดสถานการณ์ต่างๆ ภายในประเทศ แต่ยังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดเมืองไทยที่มีแนวโน้มการเติบโตได้ในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันตลาดเหล็กเคลือบภายในประเทศมีมูลค่าประมาณ 28,000 ล้านบาท โดยแบ่งตามลักษณะตลาดและการใช้งานได้ 2 ประเภท ได้แก่ งานก่อสร้างในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคพื้นฐาน และงานก่อสร้างบ้านพักอาศัย
“สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2558/2559 เรายังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจไปยังกลุ่มโรงงานเอสเอ็มอีและที่พักอาศัย อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดที่ยังมีแนวโน้มการเติบโต โดยชูนโยบายในการขยายตลาดค้าปลีกไปยังตลาดภูมิภาคมากขึ้น เพื่อรองรับการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในต่างจังหวัด โดยจะมีการคัดเลือกและแต่งตั้งลูกค้าของบริษัทฯ ที่เป็นโรงงานรีดขึ้นรูปเมทัลชีทที่มีศักยภาพในแต่ละพื้นที่เข้ามาร่วมโครงการ บลูสโคปออโธไรซ์ ดีลเลอร์ หรือตัวแทนจำหน่ายสินค้าบลูสโคปที่มีสินค้าครบครันและบริการครบวงจร เช่น การให้คำปรึกษาในเรื่องคุณภาพสินค้า การติดตั้งแผ่นและฉนวน บริการวัดหน้างาน ตลอดจนการแนะนำในเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน เพื่อให้ผู้ใช้สินค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากบลูสโคป ซึ่งปัจจุบันมี บลูสโคปออโธไรซ์ ดีลเลอร์ทั้งหมด 22 สาขา และตั้งเป้าหมายจะขยายให้ครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ ภายในปี 2561”นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า บลูสโคปยังได้เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง โดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ บลูสโคป แซคส์® คูล (BLUESCOPE Zacs® Cool) ซึ่งเป็นนวัตกรรมวัสดุทำหลังคาที่ผลิตจากเหล็กเคลือบคุณภาพสูง เทคโนโลยีจากประเทศออสเตรเลีย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มที่อยู่อาศัยซึ่งต้องการผลิตภัณฑ์หลังคาเหล็กคุณภาพที่ช่วยทำให้บ้านและอาคารเย็นขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีการสะท้อนความร้อนและความทนทานต่อรังสีอัลตร้าไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ มาใส่ลงไปในชั้นเคลือบสีของแผ่นเหล็กกล้ากำลังสูง บลูสโคป แซคส์® คูล (BLUESCOPE Zacs® Cool ) จึงมีประสิทธิภาพในการสะท้อนความร้อน ช่วยลดอุณหภูมิภายในตัวอาคาร อีกทั้ง ยังมีความทนทานโดยรับประกันการเกิดรูพรุนเนื่องจากการกัดกร่อนสูงสุด 12 ปี ปลอดภัยต่อสุขภาพเพราะปราศจากสารตะกั่วและใยหิน บลูสโคป แซคส์® คูล (BLUESCOPE Zacs® Cool) สะดวกต่อการใช้งาน สามารถดัดขึ้นรูปได้ง่าย และมีสีสันให้เลือกหลากหลาย พร้อมรับประกันสีไม่ซีดจาง 5 ปี สำหรับเฉดสีมาตรฐาน 16 สี เพิ่มความมั่นใจว่าหลังคาจะมีสีสวยสดใสยาวนาน
เอ็นเอส บลูสโคป ร่วมกับ บริษัท นิปปอน สตีล แอนด์ ซูมิโตโม เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำด้านเทคโนโลยีและการผลิต ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับทางบลูสโคป ได้ทำการลงทุนในโครงการพัฒนาโรงงานผลิตแห่งใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี NSSMC ด้วยเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อทำการพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ ซูเปอร์ ไดม่า ซึ่งโครงการดังกล่าวนี้ ถือเป็นปัจจัยที่จะสร้างความได้เปรียบทางด้านคุณภาพสินค้าของบลูสโคปในฐานะผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย โดยล่าสุดได้ทำการเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ เหล็กเคลือบ ซูเปอร์ ไดม่า® (SuperDyma®) และ ผลิตภัณฑ์เหล็กซีอาร์พี แอนตี้แบคทีเรีย เอสดี (CRP Antibacterial™ SD) ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตซูเปอร์ ไดม่า® เป็นแห่งแรกและแห่งเดียวเหนือจากฐานการผลิตในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
สำหรับ เหล็กเคลือบ ซูเปอร์ ไดม่า® เป็นแผ่นเหล็กที่ผ่านกระบวนการเคลือบโดยกรรมวิธีการจุ่มร้อนอย่างต่อเนื่อง ปกป้องผิวเหล็กไม่ให้สัมผัสกับความชื้นและอากาศ จึงมีคุณสมบัติต้านทานการกัดกร่อนอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถใช้งานได้ทุกสภาวะอากาศ เหมาะกับงานโครงสร้างขนาดใหญ่ และอุตสาหกรรมการผลิตทั่วไป และ ผลิตภัณฑ์เหล็กซีอาร์พี แอนตี้แบคทีเรีย เอสดี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เหล็กเคลือบที่เหนือกว่าด้วยชั้นเคลือบโลหะสังกะสี ผสมอลูมิเนียมและแมกนีเซียม จึงต้านทานการกัดกร่อนในสภาวะที่มีอุณหภูมิต่ำและความชื้นสูง เหมาะกับการขึ้นรูปเป็นผนั บุฉนวนสำหรับห้องเย็นในอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปอาหาร รวมทั้งการใช้งานที่เน้นการรักษาอนามัยและปลอดเชื้อ เนื่องจากใช้เทคโนโลยี Microban® ที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งบลูสโคปถือเป็นผู้ผลิตเหล็กเคลือบเพียงรายเดียวในเอเชียแปซิฟิกที่ได้รับสิทธิ์ในการใช้เทคโนโลยีและเครื่องหมายการค้า Microban®
นอกจากนี้ ยังนำนวัตกรรมใหม่ล่าสุดเทคโนโลยีเคลือบสี VIEWKOTE® จากบริษัท นิปปอน สตีล แอนด์ ซูมิโตโม เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งสามารถเคลือบได้บนเหล็กเคลือบโลหะหลายประเภท เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย รองรับการผลิตเหล็กเคลือบสีสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยบลูสโคป มุ่งเน้นที่จะขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าให้มากขึ้น
ในส่วนของกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) นั้น นายสมเกียรติ กล่าวว่า ยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินงานของศูนย์ฝึกอบรมบลูสโคป (BlueScope Training Center) ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2556 โดยร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมทางด้านการติดตั้งแผ่นเหล็กเมทัลชีทและเหล็กโครงสร้างมวลเบาให้แก่ทีมช่างและผู้รับเหมาก่อสร้าง เพื่อเพิ่มแรงงานฝีมือให้เพียงพอกับปริมาณงาน เพิ่มคุณภาพในการติดตั้ง และสร้างความตระหนักเรื่องความปลอดภัยให้กับช่าง โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย สำหรับการจัดอบรมจะมีทั้งภายในศูนย์ฯ ที่นิคมอุตสาหกรรมตะวันออก มาบตาพุด จังหวัดระยอง ในพื้นที่เดียวกับกลุ่มบริษัทเอ็นเอส บลูสโคป และยังมีการฝึกที่หน่วยอบรมเคลื่อนที่ซึ่งมีทีมงาน อุปกรณ์ และเครื่องมืออันทันสมัย พร้อมรถพ่วงที่มีศักยภาพในการปฏิบัติการได้ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งตลอด 2 ปี ที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมกับศูนย์ฯ รวม 1,329 คน.