- Details
- Category: อสังหาริมทรัพย์ฯ
- Published: Friday, 10 July 2015 22:24
- Hits: 16353
รายงานตลาดรับสร้างบ้านไตรมาสสองและแนวโน้มครึ่งปีหลัง 2558
สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association: THBA) ประเมินภาพรวมตลาด รับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด ในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายนที่ผ่านมา พบว่าความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อของผู้บริโภคปรับตัวลดลงชัดเจน โดยลดลงทั้งในแง่ของปริมาณรวมและมูลค่าต่อหน่วย กล่าวคือ ความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ปริมาณลดลงกว่าในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้กว่าร้อยละ 20 ขณะเดียวกันมูลค่าหรือราคาบ้านต่อหน่วยก็ลดลงด้วยเช่นกัน โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาเลือกปลูกสร้างบ้านราคาไม่เกิน 2-3 ล้านบาทเศษ จากเดิมที่นิยมเลือกสร้างบ้านในระดับราคา 3-5 ล้านบาทขึ้นไป สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนได้ว่าผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป ยังไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางเศรษฐกิจประเทศและรายได้ของตัวเองในอนาคต ทั้งนี้กำลังซื้อที่ลดลงเกิดขึ้นหลายไตรมาสติดต่อกันแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ถดถอย นับตั้งแต่ประเทศไทยปรับโหมดการปกครองประเทศโดยรัฐบาลทหาร
สถานการณ์การแข่งขัน
ในช่วงไตรมาสสองที่ผ่านมา ภาพการแข่งขันของตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล กลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านหรูมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย อาทิ แถมทองคำ แจกรถยนต์ ในขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านหลังเล็ก-กลางนั้นต่างเน้นกลยุทธ์ลดราคา เช่น ส่วนลดเงินสดสูงสุด 10-20% (มีเงื่อนไข) ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อผู้บริโภค แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายมีความระมัดระวัง ในการลงทุนและใช้จ่ายมากกว่าภาวะปกติ ทำให้ไม่สามารถปลุกกำลังซื้อให้คึกคักได้ ซึ่งจากการสำรวจความเห็นผู้ประกอบการต่างยอมรับว่า ความสนใจสร้างบ้านหลังใหม่ในช่วงไตรมาสสองค่อนข้างเงียบเหงากว่า เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกและไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ประกอบการที่เลือกเจาะตลาดหรือเข้าถึงกำลังซื้อผู้บริโภคกลุ่มพื้นที่ใหม่ๆ หรือโฟกัสกลุ่มลูกค้าเป้าหมายชัดเจนและมีการแข่งขันน้อย พบว่ายังมีกำลังซื้อและขยายตัวได้ในระดับหนึ่ง แต่แชร์ส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นก็ไม่อาจช่วยให้มูลค่าตลาดรวมรับสร้างบ้านขยายตัว
แนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีหลัง
สมาคมฯ คาดการณ์ว่าทิศทางตลาดรับสร้างบ้านในช่วงไตรมาสสาม มีแนวโน้มฟื้นตัวเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา ด้วยเพราะผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่แข่งขันอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีการจัดกิจกรรมตลาดเพื่อสร้างการรับรู้และกำลังซื้อผู้บริโภค กอปรกับผลการสำรวจออนไลน์ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายระบุว่า มีแผนจะสร้างบ้านหลังใหม่ในปี 2558 นี้ โดยสามารถแบ่งตามรายไตรมาสมีดังนี้คือ กลุ่มแรกปลูกสร้างไตรมาสที่ 1 คิดเป็นร้อยละ 33 กลุ่มที่สองปลูกสร้างไตรมาส 2 คิดเป็นร้อยละ 17 กลุ่มที่สามปลูกสร้างไตรมาส 3 คิดเป็นร้อยละ 19 และกลุ่มที่สี่ปลูกสร้างไตรมาสสุดท้าย คิดเป็นร้อยละ 31
อย่างไรก็ดี ทิศทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง สมาคมฯ ประเมินว่ายังมีปัจจัยลบรอบด้านทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อผู้บริโภค อาทิเช่น ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาหนี้เสียสถาบันการเงิน ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซและเศรษฐกิจยุโรปทรุด ฯลฯ ในขณะที่มองหาปัจจัยบวกเพื่อจะเรียกความเชื่อมั่นและกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคแทบไม่มี ดังนั้นเชื่อว่าแนวโน้มการแข่งขันของผู้ประกอบการในครึ่งปีหลัง น่าจะรุนแรงมากกว่าในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีผู้ประกอบการแข่งขันกันอยู่มากกว่า 100 ราย รวมถึงตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัดที่มีการแข่งขันไม่มาก แต่ด้วยกำลังซื้อที่มีอยู่จำกัดก็น่าจะทำให้การแข่งขันรุนแรงเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยที่มักใช้กลยุทธ์ตัดราคา เพื่อให้ได้งานและมีเงินหมุนเวียนมาเลี้ยงพนักงานในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำหรับผู้บริโภคที่เลือกใช้บริการ หากว่าผู้ประกอบการประสบปัญหาและปิดกิจการลง
ส.ไทยรับสร้างบ้านชี้แนะ
ฝ่ายวิชาการสมาคมฯ ประเมินว่า สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีหลังแนวโน้มไม่สดใส หากไม่มีการกระตุ้นกำลังซื้อหรือขาดแรงจูงใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายที่ดีพอ เชื่อว่ามูลค่ารวมตลาดรับสร้างบ้านปี 2558 นี้ มีโอกาสปรับตัวลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 10-20 จากที่ก่อนหน้านี้ประเมินไว้ว่า มูลค่ารวมตลาดรับสร้างบ้านปีนี้ประมาณ 1.6 หมื่นบ้านบาท ดังนั้นทางออกของผู้ประกอบการในธุรกิจนี้มี 2 แนวทางที่สมาคมฯ แนะนำคือ 1.ควบคุมการบริหารจัดการและปรับลดค่าใช้จ่าย เพื่อประคองตัวรอรับเศรษฐกิจฟื้น 2.สร้างมูลค่าเพิ่มและโฟกัสกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน พร้อมสร้างแรงจูงใจหรือกระตุ้นกำลังซื้อที่โดนใจมากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น หากผู้ประกอบการเลือกที่จะแข่งขันและใช้แนวทางใดแนวทางหนึ่ง สมาคมฯ แนะว่า ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการตัดราคาขายจนเท่าทุนหรือขาดทุน เพราะจะกลายเป็นว่าเอาตัวรอดได้ในวันนี้ กลับต้องไปเผชิญปัญหาในวันหน้า แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการควรเน้นปฏิบัติคือ การสร้างความแตกต่างกับคู่แข่งในตลาด และทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในมาตรฐานคุณภาพและบริการ เพราะด้วยสถานการณ์ที่ผู้บริโภคไม่อาจไว้วางใจผู้ประกอบการรายใดว่าจะรอดหรือไม่รอด ‘ความเชื่อมั่น’เท่านั้นที่จะเป็นแรงจูงใจหรือกระตุ้นการตัดสินใจ “ราคา” หาใช่ปัจจัยแรกหรือสำคัญที่สุดต่อการตัดสินใจ สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่เลือกใช้บริการกับบริษัทรับสร้างบ้านหรือศูนย์รับสร้างบ้านในปัจจุบัน
ความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้สมาคมฯ แนะว่ายังมีกำลังซื้อของผู้บริโภคอีกกลุ่มใหญ่ที่ผู้ประกอบการเข้าไม่ถึง อาจด้วยเพราะติดเงื่อนไขพื้นที่ให้บริการหรือสาขาให้บริการ การสื่อสารที่ผู้บริโภครับรู้ต่อธุรกิจไม่ชัดเจน (ลักษณะของธุรกิจและราคาที่แตกต่างกับผู้รับจ้างรายย่อยทั่วไป) ฯลฯ ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปลดล็อคหรือ ปรับตัวเอง ให้สอดคล้องกับกำลังซื้อที่มีอยู่ทั่วประเทศ เพื่อสามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหญ่และกลุ่มใหม่นี้ โดยอาจเป็นการรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างการรับรู้สู่ผู้บริโภค หรือสร้างเครือข่ายธุรกิจที่เข้มแข็งและผู้บริโภคเชื่อมั่น เพื่อเจาะเข้าถึงกำลังซื้อและแชร์ผลประโยชน์ร่วม อย่างเช่น การรวมกลุ่มกันภายใต้ระบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้าน กลุ่มพันธมิตรวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ซึ่งจะเน้นการดำเนินธุรกิจและการตลาดไปในทิศทางเดียวกันได้ดีกว่า การรวมตัวกันเป็นแค่ชมรมหรือสมาคม ดังจะเห็นได้จากการขยายตลาดรับสร้างบ้านออกไปทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว ของกลุ่มแฟรนไชส์รับสร้างบ้านที่มีอยู่ในปัจจุบัน