- Details
- Category: อสังหาริมทรัพย์ฯ
- Published: Tuesday, 02 December 2014 07:17
- Hits: 2247
รับสร้างบ้านยอมรับสภาพบ้านหลังใหญ่ยอดขายอืด!
บ้านเมือง : รับสร้างบ้านยอมรับสภาพปีนี้บ้านหลังใหญ่ยอดขายอืดทั้งกรุงเทพฯ-ปริมณฑล หลังเจอมรสุมวิกฤติภายในประเทศฟาดหางใส่อย่างจัง เชื่อปีหน้าตลาดเริ่มส่งสัญญาณฟื้นชีพ เหตุผู้ประกอบการแห่เปิดกิจการเพิ่มขึ้น มั่นใจธุรกิจรับสร้างบ้านโต 10-15% แน่นอน
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอปอเรชั่น จำกัด และในฐานะนายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ปริมาณและมูลตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.57) พบว่าเติบโตแบบชะลอตัว เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะความต้องการสร้างบ้านหลังใหญ่หรือระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป-10 ล้านบาท และกลุ่มราคา 10-20 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมาณ รวมทั้งในต่างจังหวัดกำลังซื้อลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจออนไลน์ของสมาคมฯ เมื่อช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่ผู้บริโภคจำนวน 2,300 ตัวอย่าง ระบุต้องการสร้างบ้านกลุ่มระดับราคา 1.5-2.5 ล้านบาท มีสัดส่วนมากที่สุด หรือคิดเป็นร้อยละ 69 และกลุ่มระดับราคาบ้าน 2.5 ล้านบาทขึ้นไป -5 ล้านบาท มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 18 ในขณะที่กลุ่มระดับราคาบ้าน 5 ล้านบาทขึ้นไป -10 ล้านบาท และราคาบ้าน 10-20 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 11 และร้อยละ 1 ตามลำดับ
"สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่เน้นจับกลุ่มเฉพาะลูกค้าสร้างบ้านหลังใหญ่ โดยเฉพาะรายที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น ซึ่งสมาคมฯ สำรวจพบว่ามีผู้ประกอบการที่แข่งขันจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้มีจำนวนกว่า 30 ราย อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการชั้นนำบางราย ได้มีการปรับตัวรับสถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านหรูที่ชะลอตัวในปีนี้ ด้วยการหันมาเน้นจับกลุ่มลูกค้าสร้างบ้านระดับราคาไม่เกิน 1.5-5 ล้านบาทแทน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผู้บริโภคมีความต้องการมากที่สุด หวังชดเชยยอดขายบ้านหรูที่หดตัว รวมทั้งมีการขยายพื้นที่ให้บริการออกไปในต่าง
จังหวัดมากขึ้น ทั้งนี้การหันมาจับกลุ่มลูกค้าสร้างหลังเล็กลง ถือว่าเป็นเรื่องยากลำบากในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก ยกเว้นว่าผู้ประกอบการได้นำระบบการก่อสร้างสำเร็จรูปมาใช้แทนวิธีเดิมๆ ดังจะเห็นได้จากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ไม่อาจปรับตัวได้ เพราะยังเลือกใช้วิธีก่อสร้างที่ต้องพึ่งพาแรงงานจำนวนมากแบบเดิม"
นายสิทธิพร กล่าวว่า ตลาดรวมรับสร้างบ้านปี 2557 นี้ ประเมินว่ามีมูลค่าประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาทเศษ ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาทเศษ สำหรับในปี 2558 ประเมินว่ากำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านน่าจะเติบโตกว่าปีนี้ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 1.5-1.6 หมื่นบาท จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศ ดังจะเห็นได้จากสัญญาณความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มกลับมาในช่วงไตรมาสสี่นี้ และเชื่อว่ากำลังซื้อจะคึกคักต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.ปีหน้า ฉะนั้น หากผู้ประกอบการช่วยกันสร้างการรับรู้และกระตุ้นกำลังซื้อที่ฟื้นตัวในช่วง 1-3 เดือนจากนี้ไป ก็จะยิ่งช่วยให้มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านเติบโตได้แน่นอนมากขึ้น
นายสิทธิพร กล่าวว่า ในมุมกลับกัน ช่วงนี้ไตรมาส 4 ปีนี้ ก็เริ่มเห็นสัญญากำลังซื้อเริ่มกลับมาบ้างแล้ว โดยวัดได้จากลูกค้าที่วอล์กอินทยอยเข้ามาตลอดช่วง 3 เดือนสุดท้าย โดยส่วนตัวมองว่า ปีหน้าช่วงไตรมาสแรกของปีกำลังซื้อจะเริ่มกลับมาเข้าสู่ในระบบมากขึ้น โดยเฉพาะสัญญาณที่เห็นได้ชัดเวลานี้ ตลาดรับสร้างบ้าน ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น ซึ่งในต่างจังหวัดก็มีบริษัทรับสร้างบ้านเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ทั้งจากบริษัทที่อยู่ในสมาคมฯ และบริษัทรับสร้างบ้านท้องถิ่นเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ตนมั่นใจว่า ตลาดรับสร้างบ้านในปีหน้า จะสามารถเติบโตจากสัญญาณดังกล่าวโดยคาดว่าตลาดน่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 15% อย่างแน่นอน แต่ในส่วนของตลาดรับสร้างบ้านนั้น โดยเฉพาะตลาดบ้านต่ำกว่า 5 ล้านบาท ก็ยังคงเป็นตลาดหลักที่จะสร้างยอดขายให้กับผู้ประกอบการที่จับตลาดดังกล่าวนี้ ขณะที่ตลาดบ้านระดับ 5 ล้านบาทขึ้น ปีหน้าอาจจะทรงตัว แต่มูลค่าหน่วยอาจจะโตเพิ่มขึ้น
ด้านนายวรพจน์ เอี่ยมสุวรรณ กรรมการบริหาร สายการตลาดในกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ เปิดเผยภาพรวมตลาดรับสร้างบ้าน ว่า ต้องยอมรับในช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปีที่ผ่านมา ตลาดรับสร้างบ้านไม่ค่อยหวือหวามากนัก เนื่องจากเราต้องประสบกับปัญหาในประเทศโดยเฉพาะปัญหาทางการเมือง ทำให้กำลังซื้อชะลอการตัดสินใจสร้างบ้าน แต่หลังจากที่ปัญหาการเมืองยุติลงและเรามีรัฐบาลที่ชัดเจนแล้ว ตลาดรับสร้างบ้านก็เริ่มจะกลับมาอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของกลุ่มบริษัทฯ ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ดังกล่าวนั้น เราได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก หากพิจารณายอดขายทั้งกลุ่มของบริษัทฯ ประกอบไปด้วย บริษัท บางกอกเฮ้าส์ บิวเดอร์, บริษัท สมอลล์ เฮ้าส์ บิ้วเดอร์ และ บิวท์ ทู บิวด์ นั้น ตลอดช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายทั้งกลุ่มต้องถือว่า ฝ่าฟันวิกฤติมาได้ โดยสามารถทำยอดขายปรับเพิ่มขึ้น 10% ถ้าเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ หากแยกประเภทธุรกิจแล้ว ยอดขายทั้งหมดที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น ส่วนใหญ่จะมาจากยอดขายบ้านหลังเล็ก หรือระดับราคา 2-6 ล้านบาท โดยเฉพาะสมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์และบางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์นั้น ถือว่าเป็นตัวทำยอดขายให้บริษัทฯ ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในงานมหกรรมรับสร้างบ้านสามารถโกยยอดได้ถึง 170 ล้านบาท ขณะที่ บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จะรับสร้างบ้านในตลาดระดับบ้านหลังใหญ่นั้น ต้องยอมรับว่า ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทฯ ที่วางเอาไว้ เนื่องจากเป็นบ้านที่มีระดับราคาที่สูง ซึ่งของเราเองจะอยู่ในระดับราคาที่ 8-20 ล้านบาท
นายวรพจน์ ยังกล่าวต่อว่า โดยภาพรวมสรุป 9 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าบริษัทฯ สอบผ่านในแง่ของบ้านระดับราคา 1-6 ล้านบาท โดยเฉพาะบริษัทสมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ ที่จับกลุ่มระดับบ้าน 2-3 ล้านบาท ซึ่งในตลาดนี้ไม่มีใครทำตลาด รวมถึงเราได้เปรียบในเรื่องของโครงสร้างสำเร็จรูป แต่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ อาจลำบาก เนื่องจากเขายังใช้แรงงานเป็นส่วนใหญ่ เพราะช่วงที่ผ่านมาต่างประสบกับภาวะวิกฤติแรงงานที่ขาดแคลน
สำหรับ ทิศทางตลาดรับสร้างบ้านในระดับราคา 8-20 ล้านบาทนั้น ตนเชื่อว่าหากสถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว ตลาดรับสร้างบ้านในระดับราคานี้ กำลังซื้อของผู้บริโภคก็จะกลับมาเร็วเช่นกัน แต่ในมุมกลับกัน ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาบ้านหลังใหญ่ถือว่า ยอดขายอืด พอเหตุการณ์สงบรวมทั้งมีการปฏิรูปทางการเมือง สถานการณ์ในตลาดนี้ก็ยังไม่ดีมากนัก เนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจในประเทศดูเหมือนจะฟื้นตัว แต่หลังจากที่ออกประกาศจีดีพีทั้งปีเหลือกว่า 1% ก็ทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจสร้างบ้านหลังใหญ่ไปโดยปริยายทันที
ทั้งนี้ ทิศทางตลาดรับสร้างบ้านในปีหน้านั้น ตนมองว่าตลาดรับสร้างบ้านน่าจะกลับมา โดยเฉพาะบ้านหลังใหญ่ต้องโฟกัสในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 เริ่มจะกลับมาคึกคักเหมือนเดิม โดยตลาดปีหน้าคาดว่า จะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งหากไม่เกิดปัจจัยภายในและภายนอก ธุรกิจรับสร้างบ้านน่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยทั้งกลุ่มของบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายปีหน้า 900 ล้านบาท เท่ากับเป้ายอดขายในปีนี้าวะวิกฤติแรงงานที่ขาดแคลเนื่องจากเขายังใช้แรงงานเป็นส่วนใหญ่
นายวรพจน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ นั้น เราจะมองนโยบายของบริษัทที่วางแผนงานเอาไว้เป็นหลัก โดยเฉพาะจะมุ่งเน้นในเรื่องคุณภาพ เราไม่เน้นปริมาณ ขณะเดียวกันในเรื่องของการบริการก็ให้ความสำคัญ รวมไปถึงการดีไซน์แบบบ้านใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาดมากขึ้น
'รับสร้างบ้าน'แค่ 1.3 หมื่นล้าน นายวรพจน์ เอี่ยมสุวรรณ ศก.ซึมฉุดต่ำเป้า-หนีกรุงเจาะลูกค้าภูธร
ไทยโพสต์ * 'พีดีเฮ้าส์' ชี้ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านปีนี้ หืดจับ คาดสิ้นปีมูลค่ารวมแค่ 13,000 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้า ผู้ประกอบการปรับแผน หันเจาะกลุ่มลูกค้าระดับราคาไม่เกิน 1-5 ล้านบาทมากขึ้น 'บิวท์ทูบิวด์' หวังปีหน้าฟื้น ตั้งเป้ายอดขาย 900 ล้านบาท
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีอัตราเติบโตแบบชะลอตัว โดยเฉพาะบ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาท และกลุ่มราคา 10-20 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัดกำลังซื้อลดลง
ทั้งนี้ ผลสำรวจออนไลน์ของสมาคม เมื่อช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้บริโภค 2,300 ตัวอย่าง ระบุว่า บ้านระดับราคา 1.5-2.5 ล้านบาท มีสัดส่วนมากสุด 69% ระดับราคา 2.5-5 ล้านบาทขึ้นไป มี สัดส่วน 18% ขณะที่กลุ่มระดับราคา 5-10 ล้านบาท มีสัดส่วน 11% และราคา 10-20 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วน 1%
"สถานการณ์ดังกล่าวส่ง ผลให้ผู้ประกอบการที่เน้นจับกลุ่มเฉพาะลูกค้าสร้างบ้านหลังใหญ่ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล แข่ง ขันกันรุนแรงมากขึ้น ซึ่งสมาคมสำรวจพบว่า มีผู้ประกอบการที่แข่งขันจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้กว่า 30 ราย ผู้ประกอบการชั้นนำบางรายได้มีการปรับตัวรับสถานการณ์ ด้วยการหันมาเน้นจับกลุ่มลูกค้าสร้างบ้านระดับราคาไม่เกิน 1.5-5 ล้านบาทแทน หวังชดเชยยอดขายบ้านหรูที่หดตัว รวมทั้งขยายพื้นที่ให้บริการออกไปในต่างจังหวัดมากขึ้น"นายสิทธิพรกล่าว
สำหรับ ตลาดรับสร้างบ้านปีนี้จะมีมูลค่าประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท จากที่คาดการณ์เดิม 1.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าปี 2558 ประเมินกำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านน่าจะเติบโตกว่าปีนี้ น่าจะมีมูลค่า 1.5-1.6 หมื่นบาท จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เห็นได้จากสัญญาณความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับมาในช่วงไตรมาส 4 และเชื่อว่าจะคึกคักต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.ปีหน้า
นายวรพจน์ เอี่ยมสุวรรณ กรรมการบริหาร สายการตลาด กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ กล่าวว่า ผลดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ทำยอดขายเพิ่มขึ้น 10% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน หากแยกประเภทธุรกิจ ยอดขายทั้งหมดที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มาจากยอดขายบ้านหลังเล็ก หรือระดับราคา 2-6 ล้านบาท ขณะที่บิวท์ ทู บิวด์ รับสร้างบ้านระดับบ้านหลังใหญ่ระดับราคา 8-20 ล้านบาท ยอมรับว่ายอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับปี 2558 ทิศทางตลาดรับสร้างบ้าน คาดว่าจะ กลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะบ้านหลังใหญ่ต้องโฟกัสในช่วงไตร มาส 2 และ 3 จะกลับมาคึกคักเหมือนเดิม โดยปีหน้าคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยทั้งกลุ่มของบริษัทตั้งเป้ายอดขายปีหน้า 900 ล้านบาท เท่ากับปี 2557.