- Details
- Category: อสังหาริมทรัพย์ฯ
- Published: Wednesday, 23 March 2022 18:25
- Hits: 7883
สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2565 สินค้าใหม่เพิ่มกว่า 60.3 % ระวังหน่วยเหลือขายฉุดตลาด
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานสรุปผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2564พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่นจังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดมหาสารคามโดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วยจากการ สำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พบว่า ณ สิ้นปี 2564 มีจำนวนที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างเสนอขายจำนวนทั้งสิ้น 285โครงการ จำนวน 12,271หน่วย คิดเป็นมูลค่า42,565ล้านบาทจำนวนหน่วยลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ร้อยละ -9.1มูลค่าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -10.5 มีโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเพียง 867หน่วย มูลค่า 2,897ล้านส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 10,439 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -15.6 มีมูลค่าหน่วยเหลือขายรวม 36,095 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -17.9
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวด้านการขายพบว่ามีหน่วยที่ขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งหลังปี 2564 จำนวน 1,832หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.4มูลค่าขายได้ใหม่จำนวน 6,470ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ80.5เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดย ส่งผลให้ภาพรวมมีอัตราดูดซับดีขึ้นเล็กน้อย โดยปรับขึ้นจากร้อยละ 1.4 ในช่วงปลายปี 2563 เพิ่มเป็นร้อยละ 2.5 ในช่วงปลายปี 2564
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาภายใต้การแพร่ระบาดของ COVID-19 การลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งในด้านอุปสงค์ และอุปทาน เมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 สถานการณ์โดยรวมเริ่มกลับเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัวเมื่อผู้ประกอบการลดการเติมอุปทานใหม่เข้ามาในตลาด ส่งผลให้อัตราดูดซับเริ่มดีขึ้น โครงการเหลือขายลดจำนวนลง
ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือครึ่งหลังปี 2564 ในส่วนของหน่วยเสนอขายทั้งหมด 12,271 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 42,565 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 10,113 หน่วย มูลค่า 37,272 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 2,158 หน่วย มูลค่า 5,294 ล้านบาทมีโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเพียง 867 หน่วย มูลค่า 2,897 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 794 หน่วย มูลค่า 2,721 ล้านบาท อาคารชุด 73 หน่วย มูลค่า 175 ล้านบาท
สำหรับ โครงการขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งหลังปี 2564 มีจำนวน 1,832 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.4 มูลค่าขายได้ใหม่จำนวน 6,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 80.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยในส่วนของโครงการบ้านจัดสรรมีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ประมาณ 1,524 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.6 มูลค่า 5,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 72.6 ในขณะที่โครงการอาคารชุดขายได้ใหม่จำนวน 308 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.4 มูลค่า 923 ล้านบาท
โดยจังหวัดขอนแก่นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยรอการขาย ณปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,706หน่วย ลดลงถึงร้อยละ -6.7 คิดเป็นมูลค่า11,415ล้านบาท ลดลงร้อยละ -7.7เมื่อเทียบกับช่องเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ที่อยู่อาศัยใหม่เข้ามาในตลาดลดลงโดยมีจำนวน 295หน่วย ลดลงถึงร้อยละ -28.2มูลค่า941ล้านบาท ลดลง -20.5โดยมีหน่วยขายได้ใหม่เพียง 599หน่วย อัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 73.1มูลค่าการขายได้ใหม่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 78.4คิดเป็นมูลค่า 1,911ล้านบาท แต่ด้วยเหตุผลที่สินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดน้อยลงอย่างมาก ส่งผลให้อัตราดูดซับขยับขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.7
ในขณะที่จังหวัดนครราชสีมามีอัตราการเพิ่มขึ้นของโครงการขายได้ใหม่ในประเภทโครงการอาคารชุดสูงถึงร้อยละ 138.1 หน่วยเหลือขายลดลงร้อยละ -30.2ขณะที่โครงการเปิดขายใหม่ลดลงอย่างมาก แต่ทั้งนี้เป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานที่มีจำนวนหน่วยต่ำ ส่งผลให้จังหวัดนครราชสีมาเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีอัตราดูดซับดีขึ้นอย่างชัดเจนโดยปรับเพิ่มจากร้อยละ 1.3ในครึ่งหลังปี 2563 เพิ่มเป็นร้อยละ 2.2 ในครึ่งหลังปี 2564
ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
สำหรับ ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยปี 2565ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์คาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงของการฟื้นตัวทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยในด้านอุปทานคาดการณ์ว่าจะมีโครงการเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.3เพิ่มจาก 2,450หน่วย ในปี 2564 เป็น 3,928 หน่วยในปี 2565 ขณะที่จำนวนหน่วยเหลือขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.6โดยหน่วยเหลือขายจะเพิ่มขึ้นจาก 10,439 หน่วย ในปี 2564 เป็น 12,795หน่วย ในปี 2565 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.5
โดยเพิ่มขึ้นจาก 36,095ล้านบาท ในปี 2564 เป็น 43,505ล้านบาท ในส่วนของอุปสงค์คาดการณ์ว่าภาพรวมหน่วยขายได้ใหม่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 โดยเพิ่มจาก 3,973หน่วย ในปี 2564 เป็น 4,206 หน่วย ในปี 2565 มูลค่าการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8โดยเพิ่มจาก 12,945 ล้านบาท ในปี 2564 เป็น13,560ล้านบาท ในปี 2565 ส่งผลให้อัตราดูดซับโดยภายรวมในช่วงครึ่งหลังปี 2565 ยังคงทรงตัวอยู่ในอัตราร้อยละ 2.4
อย่างไรก็ดี ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าในปี 2565จังหวัดหลัก คือจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดขอนแก่น เป็นพื้นที่ที่น่าจับตา โดยจังหวัดนครราชสีมาคาดว่าจะมีหน่วยเปิดขายใหม่จำนวน 1,917หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 106.0คิดเป็นมูลค่า 5,627ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 83.7โดยคาดการณ์ว่าจะมีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 1,865หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.9 คิดเป็นมูลค่า6,061ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1ส่วนหน่วยเหลือขายเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นโดยเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ คาดการณ์ว่าจะมีหน่วยเหลือขาย 5,960หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.4 คิดเป็นมูลค่า 20,978ล้านบาท
ส่วนจังหวัดขอนแก่นทิศทางการขยายตัวอยู่ในกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นหลัก คาดว่าจะมีหน่วยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 1,195หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.4คิดเป็นมูลค่า 3,153ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.6มีหน่วยขายได้ใหม่ 1,151หน่วย ลดลงร้อยละ -0.3 คิดเป็นมูลค่า3,679ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0ขณะที่มีหน่วยเหลือขาย 3,274หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4มูลค่า 10,693ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5
“ความเคลื่อนไหวของตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงต้องให้ความระมัดระวังในด้านการเติมสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด เนื่องจากทุกจังหวัดอัตราดูดซับยังอยู่ในระดับทรงตัว หากเติมสินค้าใหม่เข้ามาสู่ตลาดมากขึ้นหน่วยเหลือขายก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย และโดยภาพรวมตลาดยังคงเป็นของที่อยู่อาศัยแนวราบในกลุ่มราคาไม่สูง”ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กล่าวในตอนท้าย