- Details
- Category: อสังหาริมทรัพย์ฯ
- Published: Monday, 20 October 2014 23:54
- Hits: 2724
พลัสฯ คาดความต้องการคอนโดฯขนาด 2 ห้องนอนใจกลางกทม.แนวโน้มเพิ่มขึ้น
นายภูมิศักดิ์ จุลมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คอนโดมิเนียมเข้ามามีบทบาทกับการอยู่อาศัยของคนกรุงเทพฯอย่างมาก ปัจจัยหลักคือการคมนาคมที่สะดวกขึ้นจากรถไฟฟ้า ซึ่งราคาคอนโดมิเนียมนั้นแปรผกผันกับระยะห่างจากจุดศูนย์กลางของกรุงเทพฯ และแปรผันตรงกับขนาดของห้องชุด โดยยิ่งห้องชุดมีขนาดใหญ่และอยู่ใกล้เมืองมากเท่าไหร่ ราคาห้องชุดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
ปี 57 การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมได้เน้นไปที่ห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน และขนาดห้องก็เล็กลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคในกลุ่มที่มีรายได้ระดับปานกลางสามารถเป็นเจ้าของได้ นอกจากนี้การลงทุนในคอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอนก็ได้รับความนิยมสูง เพราะสามารถปล่อยเช่าได้ง่ายกว่า เนื่องจากงบประมาณของชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทยนั้นลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยชาวญี่ปุ่นเป็นชาวต่างชาติที่เช่าอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมมากที่สุด ซึ่งงบประมาณส่วนใหญ่จะเพียงพอสำหรับการเช่าขนาด 1 ห้องนอนมากกว่า 2 ห้องนอน จึงทำให้โอกาสที่จะหาห้องชุดขนาด 2 ห้องนอนหรือใหญ่กว่าในโครงการใหม่นั้นมีน้อยมาก
ในทางกลับกันพบว่าห้องชุดขนาด 2 ห้องนอนขึ้นไปกำลังเป็นที่ต้องของตลาดในปัจจุบัน โดยความต้องการนี้จากผู้ที่ซื้อคอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอน เมื่อ 5-10 ปีที่แล้ว ได้มีการขยายครอบครัว จึงต้องการพื้นที่เพื่อการอยู่อาศัยจริงมากขึ้น ทำให้คาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า (จนถึงปี 62) ความต้องการห้องชุดขนาดใหญ่ในคอนโดมิเนียมจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะปัจจุบันการพัฒนาโครงการใหม่ยังเน้นในการสร้างห้องชุดประเภทสตูดิโอหรือ 1 ห้องนอนเป็นหลัก เช่นเดียวกับคอนโดมิเนียมรอบนอกกรุงเทพฯ ที่จะเริ่มเห็นความต้องการห้องชุดขนาด 2 ห้องนอนมีมากขึ้น ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ ซึ่งสอดคล้องกับยอดขายห้องชุดรีเซลที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้ดูแล พบว่าขนาด 2 ห้องนอนมียอดขายเพิ่มขึ้น โดยขยับขึ้นเป็น 25% จาก 22% ในปัจจุบัน ทำให้คาดการณ์ว่าห้องชุดขนาด 2 ห้องนอนจะมีความต้องการเพิ่มขึ้น
"สิ่งที่เล็งเห็นได้ในขณะนี้คือผู้พัฒนาอสังหาฯส่วนใหญ่ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาห้องชุดขนาดเล็ก ที่ปัจจุบันมีสัดส่วน 85% มากกว่า 2 ห้องนอนที่มีสัดส่วน 15% เนื่องจากห้องชุดขนาดเล็กขายได้ง่ายกว่า แต่ในทางกลับกันคอนโดมิเนียม 2 ห้องนอนที่มีซัพพลายด์ในตลาดน้อย แต่ดีมานด์กำลังจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขยับขึ้นตามความต้องการของตลาด จึงเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนในคอนโดมิเนียม 2 ห้องนอน และต่อไปแนวโน้มการพัฒนาห้องชุด 2 ห้องนอนจะมีมากขึ้น โดยเฉพาะใจกลางกรุงเทพฯจะมีสัดส่วนห้องชุด 2 ห้องนอนขยับขึ้นไป 20-40%"นายภูมิศักดิ์ กล่าว
ด้านการร่วมทุนและการหาพันธมิตรทางธุรกิจของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในประเทศไทยที่ในขณะนี้ที่มีการเกิดขึ้นค่อนข้างมาก มองว่าจะเป็นส่วนช่วยให้การพัฒนาโครงการอสังหาฯ มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น และช่วยผลักดันตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยให้เติบโตขึ้น อย่างไรก็ตาม การร่วมทุนและการหาพันธมิตรทางธุรกิจ ทำให้บริษัทมีทุนมากขึ้น มีการส่งเสริมทางด้านการทำการตลาด การขาย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีร่วมกัน เนื่องจากสามารถนำที่ดินและนำเทคโนโลยีต่างๆมาร่วมกันพัฒนาโครงการได้ โดยขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละบริษัท
สำหรับ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง-เล็กนั้น อาจจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ แต่ควรมีการศึกษาตลาดที่ดี มีการศึกษาการทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้ดีและถูกต้องตามกฏเกณฑ์ ทำให้โครงการสามารถพัฒนาและขายได้ พร้อททำการตลาดเท่าที่ทุนของบริษัทสามารถรองรับได้ ไม่ต้องทำการตลาดเกินตัว ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง-เล็กสามารถอยู่รอดได้
พลัสฯ คาดความต้องการคอนโดฯขนาด 2 ห้องนอนใจกลางกทม.แนวโน้มเพิ่มขึ้น
นายภูมิศักดิ์ จุลมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คอนโดมิเนียมเข้ามามีบทบาทกับการอยู่อาศัยของคนกรุงเทพฯอย่างมาก ปัจจัยหลักคือการคมนาคมที่สะดวกขึ้นจากรถไฟฟ้า ซึ่งราคาคอนโดมิเนียมนั้นแปรผกผันกับระยะห่างจากจุดศูนย์กลางของกรุงเทพฯ และแปรผันตรงกับขนาดของห้องชุด โดยยิ่งห้องชุดมีขนาดใหญ่และอยู่ใกล้เมืองมากเท่าไหร่ ราคาห้องชุดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
ปี 57 การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมได้เน้นไปที่ห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน และขนาดห้องก็เล็กลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคในกลุ่มที่มีรายได้ระดับปานกลางสามารถเป็นเจ้าของได้ นอกจากนี้การลงทุนในคอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอนก็ได้รับความนิยมสูง เพราะสามารถปล่อยเช่าได้ง่ายกว่า เนื่องจากงบประมาณของชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทยนั้นลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยชาวญี่ปุ่นเป็นชาวต่างชาติที่เช่าอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมมากที่สุด ซึ่งงบประมาณส่วนใหญ่จะเพียงพอสำหรับการเช่าขนาด 1 ห้องนอนมากกว่า 2 ห้องนอน จึงทำให้โอกาสที่จะหาห้องชุดขนาด 2 ห้องนอนหรือใหญ่กว่าในโครงการใหม่นั้นมีน้อยมาก
ในทางกลับกันพบว่าห้องชุดขนาด 2 ห้องนอนขึ้นไปกำลังเป็นที่ต้องของตลาดในปัจจุบัน โดยความต้องการนี้จากผู้ที่ซื้อคอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอน เมื่อ 5-10 ปีที่แล้ว ได้มีการขยายครอบครัว จึงต้องการพื้นที่เพื่อการอยู่อาศัยจริงมากขึ้น ทำให้คาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า (จนถึงปี 62) ความต้องการห้องชุดขนาดใหญ่ในคอนโดมิเนียมจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะปัจจุบันการพัฒนาโครงการใหม่ยังเน้นในการสร้างห้องชุดประเภทสตูดิโอหรือ 1 ห้องนอนเป็นหลัก เช่นเดียวกับคอนโดมิเนียมรอบนอกกรุงเทพฯ ที่จะเริ่มเห็นความต้องการห้องชุดขนาด 2 ห้องนอนมีมากขึ้น ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ ซึ่งสอดคล้องกับยอดขายห้องชุดรีเซลที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้ดูแล พบว่าขนาด 2 ห้องนอนมียอดขายเพิ่มขึ้น โดยขยับขึ้นเป็น 25% จาก 22% ในปัจจุบัน ทำให้คาดการณ์ว่าห้องชุดขนาด 2 ห้องนอนจะมีความต้องการเพิ่มขึ้น
"สิ่งที่เล็งเห็นได้ในขณะนี้คือผู้พัฒนาอสังหาฯส่วนใหญ่ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาห้องชุดขนาดเล็ก ที่ปัจจุบันมีสัดส่วน 85% มากกว่า 2 ห้องนอนที่มีสัดส่วน 15% เนื่องจากห้องชุดขนาดเล็กขายได้ง่ายกว่า แต่ในทางกลับกันคอนโดมิเนียม 2 ห้องนอนที่มีซัพพลายด์ในตลาดน้อย แต่ดีมานด์กำลังจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขยับขึ้นตามความต้องการของตลาด จึงเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนในคอนโดมิเนียม 2 ห้องนอน และต่อไปแนวโน้มการพัฒนาห้องชุด 2 ห้องนอนจะมีมากขึ้น โดยเฉพาะใจกลางกรุงเทพฯจะมีสัดส่วนห้องชุด 2 ห้องนอนขยับขึ้นไป 20-40%"นายภูมิศักดิ์ กล่าว
ด้านการร่วมทุนและการหาพันธมิตรทางธุรกิจของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในประเทศไทยที่ในขณะนี้ที่มีการเกิดขึ้นค่อนข้างมาก มองว่าจะเป็นส่วนช่วยให้การพัฒนาโครงการอสังหาฯ มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น และช่วยผลักดันตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยให้เติบโตขึ้น อย่างไรก็ตาม การร่วมทุนและการหาพันธมิตรทางธุรกิจ ทำให้บริษัทมีทุนมากขึ้น มีการส่งเสริมทางด้านการทำการตลาด การขาย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีร่วมกัน เนื่องจากสามารถนำที่ดินและนำเทคโนโลยีต่างๆมาร่วมกันพัฒนาโครงการได้ โดยขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละบริษัท
สำหรับ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง-เล็กนั้น อาจจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ แต่ควรมีการศึกษาตลาดที่ดี มีการศึกษาการทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้ดีและถูกต้องตามกฏเกณฑ์ ทำให้โครงการสามารถพัฒนาและขายได้ พร้อททำการตลาดเท่าที่ทุนของบริษัทสามารถรองรับได้ ไม่ต้องทำการตลาดเกินตัว ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง-เล็กสามารถอยู่รอดได้
อินโฟเควสท์