- Details
- Category: อสังหาริมทรัพย์ฯ
- Published: Sunday, 21 October 2018 22:06
- Hits: 4588
'แคปปิตอล วัน'ผนึกโบรกฯมะกัน รุกบริหารคอนโดฯลักชัวรี่ในไทย ลั่น 3 ปีผู้นำยอดขายในเอเชียกว่า 2 หมื่นล.
'แคปปิตอล วัน'เอเยนต์สัญชาติไทย ประกาศเดินหน้าขยายธุรกิจให้ครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย ลั่้นไม่เกิน 3 ปีจากนี้ พอร์ตการขายสู่ระดับ 20,000 ล้านบาท และไม่เกิน 5 ปี ก้าวสู่เวทีระดับนานาชาติ ให้บริการทั้งในสหรัฐฯและยุโรป ประกาศเตรียมผนึกยักษ์ใหญ่โบรกเกอร์มะกัน รุกตลาดบริหารคอนโดฯระดับลักชัวรี่ในไทย โชว์ยอดขาย 3,000 ล้านบาท วิเคราะห์ที่ดินโซนสุขุมวิทแพงเว่อร์ ราคาตลาดใช้ไม่ได้ เหตุผู้ขายที่ดินมีจำกัด ห่วงซัพพลายคอนโดฯในโซนสุขุมวิทเกินดีมานด์ โครงการชานเมืองทำตลาดยาก ไลฟ์สไตล์ลูกค้ามองโครงการแนวราบ เช่น ทาวน์เฮาส์
นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด ( CAPITAL ONE Real Estate) บริษัทที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ชั้นนำในเมืองไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการบริหารตลาดคอนโดมิเนียมในโซนสุขุมวิท เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจเอเยนต์ว่า ได้กำหนดแผนออกเป็นระยะ 3 ปีแรก จะเป็นผู้นำในด้านยอดขายครอบคลุมภูมิภาคเอเชียให้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท และภายใน 5 ปี จะให้ก้าวไปสู่ระดับนานาชาติ ที่ให้บริการไปถึงตลาดในสหรัฐอเมริการและในกลุ่มประเทศยุโรป โดยก้าวสำคัญของการผลักดันธุรกิจในไทย ทางบริษัทจะเปิดตัวพันธมิตรทางธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในธุรกิจเอเยนต์มานาน จัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา เพื่อร่วมกันขยายโอกาสการให้บริการกับโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ คาดว่าภายในปี 2562 จะสามารถประกาศความร่วมดังกล่าวได้
"จริงๆแล้ว ตนเคยทำงานเอเยนต์ในสหรัฐฯ และชื่นชอบระบบและการบริการ เนื่องจากเอเยนต์ช่วยให้ผมมีบ้าน และยังแนะนำให้ความรู้เรื่องการขอสินเชื่อ ตอนนั้น เมื่อ 10 ปีที่แล้ว บ้านในสหรัฐฯแพงมาก แต่ทางเอเยนต์ก็ดูแลผมติดต่อถึง 4-5 เดือน ทำให้รู้ว่า เราอย่ามุ่งขายอย่างเดียว แต่ต้องให้ลูกค้ามีความรู้ และสิ่งที่สำคัญ มองว่า การทำให้คนมีบ้านเป็นการสร้างอนาคต เป็นการเพิ่มทรัพย์สินในอนาคต การซื้อเรียลเอสเตท เปรียบเสมือนเป็นการเก็บเงิน ย้ำเสมอกับลูกน้อง ต้องกัดฟันซื้ออสังหาริมทรัพย์ และจากประสบการณ์กว่า 10 ปี มองว่า เรียลเอสเตทเอเยนต์ในไทยน่าสนใจ แรกๆ ก็มาบริหารโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ที่ซอยอารี และต่อเนื่องมาอีกหลายโครงการ รวมถึงโครงการแนวสูงที่อำเภอศรีราชา จนมาเจอวิกฤตการเมือง เจออีกจนชิน และปรับตัวได้ ทำให้เรารู้ว่า เราต้องรู้จักเตรียมพร้อมรองรับธุรกิจ และคิดว่าตอนนี้ คนไทยชินกับวิกฤตการเมือง แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ เรื่องอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น จะตัดกำลังซื้อของลูกค้า ทำให้ชะลอตลาดลงด้วย"
โดยในแผนปี 2561ทางบริษัทจะไม่เน้นเพิ่มปริมาณการบริหารโครงการ แต่จะให้ความสำคัญกับการขายมากกว่า พอร์ตที่รับผิดชอบมีประมาณ 14 โครงการ มูลค่าการขาย 8,000-9,000 ล้านบาท ราคาที่ทำตลาด 3-12 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยของสินค้า 3-8 ล้านบาท สัดส่วน 80% จะเป็นโครงการในโซนสุขุมวิท ฐานลูกค้าระดับ B ถึง A ผลงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2561) สามารถสร้างยอดขายมูลค่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกค้าคนไทยประมาณ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้า 30,000-40,000 ราย และยอดขายอีก 1,000 ล้านบาท เป็นลูกค้าต่างประเทศ มีทั้งมาจากประเทศจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ โดยมีบริษัทในเครือ ได้แก่ CAPITAL ONE International Co., Ltd ดูแลตลาดต่างประเทศ บริษัท CAPITAL ONE Hong Kong Lmited-Hong Kong ทำตลาดครอบคลุมลูกค้าชาวจีน มีฐานลูกค้าประมาณ 10,000 ราย และบริษัทยังมีระบบฐานข้อมูล(ดาต้าเบส) ลูกค้าในภูมิภาคเอเชียกว่า 100,000 ราย เป็นต้น
"ด้วยศักยภาพของ แคปปิตอล วัน สามารถรับบริหารต่อโครงการได้มูลค่าไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ เราคาดว่าจะมีอัตราเติบโตระดับ 20% แต่จริงๆแล้ว ที่ผ่านมา จะมียอดขายเกินมา 50% ทุกปี เนื่องมาจากการที่ลูกค้าบอกต่อ มุ่งมั่นพัฒนาระบบฐานข้อมูล(ดาต้าเบส) อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะรักษาและควบคุมไม่ให้บริษัทโตก้าวกระโดด เพื่อจะได้สามารถดูแลลูกค้าให้ทั่วถึง ทำธุรกิจได้ยาว ซึ่งในมุมมองแล้ว ธุรกิจโบรกเกอร์ในปัจจุบันต้องปรับตัวให้มาก เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในขณะนี้ อย่าไปคิดเก็บกินบุญเก่า แต่เราต้องมีในเรื่องของยุทธศาสตร์ในการทำธุรกิจ มีบริการการขายที่ดี มีพนักงานที่ดี มีฐานะข้อมูลที่ดี และต้องเป็นข้อมูลที่เป็นจริง และสภาพตลาดที่เป็นอยู่ขณะนี้ ผมว่าดี ดีตรงที่คู่แข่งน้อย และมีโอกาสที่จะก้าวสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญ"
ปัจจุบันราคาที่ดินในสุขุมวิทปรับขึ้นเยอะมาก เนื่องจากผู้ขายเป็นควบคุมราคา และการจะเฉลี่ยราคาในแต่ละโซน คงไม่ได้ เพราะเจ้าของที่ดินมีจำกัด ซึ่งผลจากต้นทุนของที่ดินที่สูงอย่างมาก ส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม เปิดราคาขายต่อตารางเมตร(ตร.ม.)ในกลุ่มตลาดที่สูง 2.5 แสนบาทขึ้นไป จำนวนผู้ซื้อจำกัด เป็นกลุ่มที่เฉพาะมาก ซึ่งจะเห็นได้ว่าในซอยทองหล่อ จะมีโครงการทำตลาดระดับราคาดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากเกิดปัญหาก็ไม่กระทบหรือทำร้ายตลาดมาก เนื่องจากขนาดของกลุ่มโครงการที่ออกมาไม่มาก เมื่อเทียบกับโครงการที่ทำสินค้าระดับลักชัวรี ราคา 3.5 แสนบาทต่อตร.ม.ตรงนี้น่าเป็นห่วง ภาพที่ชัดเจนจะเห็นในปี 2562
"ตลาดคอนโดมิเนียมมีพัฒนาการไปสู่รอบนอกชานเมืองมากขึ้น ตามการขยายตัวของเมือง แต่กลับพบว่า โครงการที่มีราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อยูนิต ออกมาค่อนข้างมาก อย่างเช่น โซนสุขุมวิทตอนปลายไปถึงสมุทรปราการ หรือโซน รังสิต เริ่มมีสัญญาณสินค้าเกินความต้องการ จากข้อมูลพบว่า ในครึ่งปีแรก หน่วยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในกรุงเทพฯและปริมณฑล อาคารชุด กว่า 31,000 หน่วย คาดทั้งปี 60,000 หน่วย ขณะที่ ตัวเลขค่าธรรเนียมจดนิติกรรมของกรมที่ดินในปีนี้ คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีงบประมาณที่ผ่านม ต่างกับปี 59-60 การจัดเก็บเพิ่มขึ้น 20% นั่น อาจจะแสดงให้เห็นถึงสภาพตลาดได้ว่า ตอนนี้ ซัพพลายคอนโดนเยอะ แต่ดีมานด์ลดลง ดังนั้น การวัดจากโครงการเปิดใหม่ยาก ต้องวัดจากสร้างเสร็จจดทะเบียน และอีกอย่าง คอนโดฯต่ำกว่า 2 ล้านบาท ปกติแล้ว มีคู่แข่งจากโครงการแนวราบ เนื่องจากไลฟ์สไตล์คนอยู่ชานเมือง อยากอยู่แนวราบ ทาวน์เฮาส์ ทั้งนี้ หากซัพพลายเยอะ เพราะราคาเพิ่มขึ้น ตามหลักเศรษฐกิจ ตัวดีมานด์ต้องเติบโต แต่ตอนนี้ นิ่ง ผลก็คือ มาจากราคาที่แพงเว่อร์ คนไทยซื้อไม่ได้ ลูกค้าต่างชาติ จึงเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ให้น้ำหนักในการเข้าไปเจาะกลุ่มลูกค้า"
นายวิทย์ กล่าวต่อว่า แคปปิตอล วัน เตรียมขยายไลน์การบริการไปยังโครงการแนวราบ เพื่อเป็นขยายฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น จากการเปิดโครงการของผู้ประกอบการจำนวนมาก ทั้งสินค้าประเภททาวน์เฮาส์ ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ โดยจะเข้าไปบริหารจับกลุ่มลูกค้าเกรด A ราคา 5-20 ล้านบาท. ซึ่งมีแนวโน้มเติบโต และมีกำลังซื้อที่สูง.
****วิเคระห์ตลาดอสังหาฯแค่สินค้าล้นตลาดในบางทำเล!*****
นายวิทย์ กล่าวด้วยข้อมูลเชิงลึกว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ออกมาตรการการดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยนั้น จริงๆแล้ว สถานการณ์ในปัจจุบันไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์เกิดฟองสบู่เหมือนเช่นปี 2540 ที่ระยะนั้น ธนาคารพาณิชย์แข่งขันปล่อยสินเชื่อ มีการปั่นราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และเมื่อเกิดการลอยตัวของค่าเงินบาท ทำให้ฟองสบู่แตก ภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบรุกลามไปถึงภาคสถาบันการเงิน แต่ในปัจจุบัน สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย ประกอบกับผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ก็ดูแลลูกค้า และตรวจสอบลูกค้า เพื่อมิให้เกิดผลในเรื่องของยอดขายที่จะตามมา
"ผมว่า ปัจจุบันอสังหาฯมีปัญหาเรื่องโอเวอร์ซัพพลาย แต่ไม่ใช่ทุกทำเล เป็นแค่บางทำเล บางโปรดักส์ การที่ธปท.เบรกก็ดี เพราะที่สหรัฐฯภาคอสังหาฯเริ่มมีปัญหา เริ่มเห็นการเกิดฟองสบู่ ราคาสินทรัพย์ในสหรัฐฯเพิ่มมา 4 เท่า และการที่ธปท.ออกมา ก็คงเป็นเรื่องที่หวังดี และในมุมแล้ว มาตรการเรื่อง LTV ไม่น่าจะกระทบมากเท่าเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ตรงนี้จะตัดกำลังซื้อ และจะยิ่งทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอลงด้วย"
Click Donate Support Web