- Details
- Category: ยานยนต์
- Published: Friday, 23 September 2016 10:38
- Hits: 4444
‘เคซี วีล แอนด์ ไทร์’ ขยายช่องทางการตลาดพร้อมรุกตลาด AEC ตั้งเป้ายอดขาย 400 ล้านบาทและเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 2562
บริษัท เคซี วีล แอนด์ ไทร์ จำกัด (K C Wheel & Tires Co., Ltd.) ผู้นำด้านการจำหน่ายล้อแม็กซ์แบรนด์ดัง อาทิ ล้อแม็กซ์ยี่ห้อโปรไดร์(PRODRIVE) ล้อแม็กซ์ยี่ห้อเวลด์(WELD) ล้อแม็กซ์ยี่ห้อเฟอราโร่ (FERRARO) ล้อแม็กซ์ยี่ห้อเวอร์ตินี่ (VERTINI) และผู้ผลิตและจำหน่ายยางยี่ห้อ TRI-ACE เตรียมขยายช่องทางการตลาดในประเทศไทยเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงและได้ใช้ล้อแมกซ์และยางรถยนต์คุณภาพสูง ย้ายฐานการผลิตมาไทย พร้อมตั้งเป้ายอดขายปี 2559 ประมาณ 400 ล้านบาท แล้วในปี 2562 ต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และพร้อมรุกตลาด AEC ภายใต้แบรนด์ KC โดยเริ่มจากกลุ่มประเทศ CLMV
นายพิชาญ พรหมเมฆประธาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคซี วีล แอนด์ ไทร์ จำกัด (K. C. Wheel & Tires Co., Ltd.) เปิดเผยว่า ย้อนหลังไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว บริษัท เคซี วีล แอนด์ ไทร์ จำกัด หรือ บริษัท เอเวอร์ไซน์ (ประเทศไทย) จำกัด เกิดขึ้นจากการที่ตนอยากจะทำความฝันที่ชื่นชอบในรถยนต์จึงตัดสินใจหันมาเอาดีเรื่องของยางรถยนต์และล้อแม็กซ์ โดยเริ่มต้นจากการเป็นเทรดดิ้งนำล้อเข้ามาจากต่างประเทศ จากนั้นค่อยสร้างแบรนด์ ซึ่งเราจะคำนึงอย่างเดียวตามหลักทฤษฏี KAIZEN คือ เวลาเราทำอะไร ต้องดีขึ้นกว่าทุกวัน ดีขึ้นกว่าแบบเดิมที่เคยทำ ธุรกิจที่บ้าน ก็มีธุรกิจอยู่แล้ว ชื่อแบรนด์ KC เหมือนกัน เราก็เคย KEEP BRAND ของครอบครัวเรามาสร้างแบรนด์ KC WHEEL
บริษัท เคซี วีล แอนด์ ไทร์ จำกัดมีสินค้า 2 กลุ่มหลัก คือ ล้อแม็กซ์กับยางรถยนต์ โดยล้อแม็กซ์มี 5 แบรนด์ ได้แก่ 1. ล้อแม็กซ์ PRODRIVE นำเข้าจากญี่ปุ่น จับกลุ่มลูกค้าเน้นที่รถยนต์นั่ง เราเป็น TECHNICIAL PARTNER ของ PRODRIVE ในการออกแบบดีไซน์ เราสามารถออกแบบดีไซน์ของเราภายใต้แบรนด์ PRODRIVE ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและติดตลาดในประเทศญี่ปุ่น 2. ล้อแม็กซ์ WELD KC นำเข้าจากอเมริกา จับกลุ่มลูกค้ารถเอสยูวี (SUV) เราได้ลิขสิทธิ์ให้ใช้แบรนด์นี้ในประเทศไทยโดยเป็น AUTHORIZED DISTRIBUTOR สามารถใช้บนสินค้าเราได้ WELD MADE BY KC เป็นการใช้นวัตกรรมการ MILLING ที่ท้องล้อ เรียกว่า การไดคัทแบรนด์บนก้าน ถือเป็นเข้าแรกที่ทำ 3. ล้อแม็กซ์ FERRARO เน้นครอบคลุมในทุกตลาดจับกลุ่มตลาดกลางขึ้นไป เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถใช้สินค้าดี มีแบรนด์ และมีคุณภาพที่ดี 4. ล้อแม็กซ์ VERTINI นำเข้าจากยุโรปจับกลุ่มลูกค้ารถหรู เราก็ได้รับเป็น AUTHORIZED DISTRIBUTOR ในประเทศไทย VERTINI ผลิตโดยนวัตกรรม FORGED FLOWFORM เป็นนวัตกรรมใหม่ซึ่งพัฒนามาจาก FLOW FORMING ซึ่งจะมีน้ำหนักและกระบวนการผลิตล้ำหน้ากว่า FLOW FORMING เป็นการขึ้นรูปล้อ FORGED แต่ใช้กระบวนการหล่อแบบ FLOW FORMING ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่เราล้ำหน้ากว่าใคร และ5.ล้อแม็กซ์ KEOCIS แบรนด์ล้อนำเข้า BY KC
ส่วนยางรถยนต์นั้นจะมียางรถยนต์ SWIZZ ยางรถปิคอัพเอนกประสงค์ผลิตในประเทศไทย และยางรถยนต์ TRI-ACE นำเข้าจากจีนผลิตที่ซานตกโรงงานในจีนแต่วิศวกรเป็นชาวญี่ปุ่น เป็นแบรนด์ที่เราทำมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ยาง TRI-ACE จับตลาดระดับกลาง กลุ่มลูกค้ามีรายได้ปานกลาง โดยมียางทั้งรถเก๋ง รถกระบะ และรถเอสยูวี ครบทั้งหมด ทั้งมัดทอเลนและออโทนเลน ถ้าเทียบกับคู่แข่งนั้นมีคุณภาพใกล้เคียงกันแต่ราคายาง TRI-ACE จะถูกกว่า 10-15 % ซึ่งเป็นจุดขายของเรา ทั้งนี้ บริษัทซานตงหย่งไท้ ตั้งอยู่ที่เมืองซานตก ประเทศจีน มีพื้นที่โรงงานมากกว่า 100 ไร่ มีกำลังการผลิตวันละประมาณ 4,000 เส้น และเรากำลังเจรจาจะนำยาง TRI-ACE เข้ามาผลิตในประเทศไทย ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างขอบีโอไอ สถานที่มีแล้วคาดไม่น่าเกินปลายปีนี้ หรือไม่เกินปี 2560 น่าจะเริ่มเดินเครื่องการผลิตได้
“ปัจจุบันเจาะกลุ่ม NICHE MARKET คือยาง TRI-ACE RACING KING ทำออกมาเป็นยาง SEMI SLICK เพื่อที่จะให้เกิดกระแสในวงการมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และนอกจากนี้กำลังทำนวัตกรรมใหม่ทั้ง TRRADWEAR และ COMPOUND เราได้คิดค้นสูตรขึ้นมาเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีสามารถใช้กับรถยนต์ทุกกลุ่ม ตั้งแต่ขอบ 15 นิ้วถึงขอบ 32 นิ้ว ทั้งนี้ ถ้าเทียบกับยางรถยนต์ยี่ห้ออื่น เราถือว่าเป็นผู้นำทั้งในเรื่องของขนาด ผลิตภัณฑ์ และคุณภาพ” นายพิชาญกล่าว
ส่วนกระแสยางจีนถือว่ามีกระแสไม่ดี แต่เรามั่นใจในนวัตกรรมการผลิตซึ่งวิศวกรที่ใช้เป็นทีมงานที่มีประสบการณ์ยาวนานในการผลิตยาง TRI-ACE รวมทั้งยางที่เราขายไปในท้องตลาดเป็นการการันตีว่าสินค้าเรามีคุณภาพ และในปีนี้จะมีการย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศไต้หวันและประเทศไทย ซึ่งทำให้มั่นใจว่านวัตกรรม คุณภาพ และความหลากหลายของสินค้าในยาง TRI-ACE มีครบแน่นอน
นอกจากนั้น ยังเป็นตัวแทนจำหน่ายยางรถยนต์นำเข้า ตัวแทนจำหน่ายภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันตก และนำเข้าและจัดจำหน่ายยางรถยนต์หลายยี่ห้อในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนหลากหลายยี่ห้อ อาทิเช่น NITTO NEOGEN, TOYO AT PLUS, KUMHO KU36, CONTINENTAL, SUNNY, DIAMONDBACK และ ยางอุตสาหกรรม เจเนอรัล นำเข้าจากประเทศจีน
การทำตลาดของบริษัท เคซี วีล แอนด์ ไทร์ จำกัดจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. END USER เราจะส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งานจริง เราทำสินค้าที่มีคุณภาพควบคู่กับการสร้างแบรนด์ทำให้ผู้ใช้รู้สึกภูมิใจในการใช้แบรนด์ของเรา และ 2. DISTRIBUTOR ผู้จัดจำหน่าย เรามองถึงประโยชน์ที่สูงสุดที่เขาจะได้รับและทำการตลาดเพิ่มช่องทางการจำหน่ายว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำในสินค้าในร้านตัวแทนของเรา ทั้งนี้ เราทำการตลาดไปพร้อมกันในหลายช่องทาง ทั้งดีลเลอร์ และผู้ใช้งานด้วย เราสร้างการรับรู้เรื่องแบรนด์ดิ้งที่ดี และการมอบผลประโยชน์ให้กับดีลเลอร์ของเรา
การจำหน่ายสินค้าของของบริษัท เคซี วีล แอนด์ ไทร์ จำกัดนั้นมีตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งเราทำการตลาดเกี่ยวกับมอเตอร์สปอร์ตในเรื่องของยางให้มอเตอร์สปอร์ตไทยได้เติบโตและใช้สินค้าที่ดี ผลิตภัณฑ์ที่ดี ทั้ง Drift และ Drag โดยปีนี้จะมีกิจกรรมทางการตลาดให้ทั้งผู้ใช้และดีลเลอร์ได้เข้ามาร่วมสนุกกันในแต่ละกิจกรรม
“ส่วนผลประกอบการที่ผ่านมาต้องบอกว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ในปี 2559 เราตั้งเป้าตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งปีนี้เราจะเน้นจัดกิจกรรมพร้อมกับจัดโรดโชว์ทั่วประเทศ โดยเราจะเน้นเป็นภาครวมถึงกระขายสินค้าเข้าไปยังร้านฟาสต์ฟิตต่างๆ เช่น บี ควิก, ค็อกพิท, ไทร์พลัส ปีนี้เราจะไปเจาะกลุ่มคาร์คลับเข้าให้ถึงกลุ่มลูกค้า ด้วยวิธีการไปร่วมกับนิตยสารต่างๆ ตัวอย่างเช่น งานไอดัล สตรีท เข้าไปเป็นออฟฟิศเชียล พาร์ตเนอร์ สนับสนุนของรางวัล เป็นการซึมเข้ากลุ่มลูกค้าไปเรื่อยๆ ซึ่งน่าจะทำให้ตลาดขยายตัวได้อีกมาก และเราตั้งเป้าไว้ว่าปี 2562 จะนำบริษัทเคซี วีล แอนด์ ไทร์ จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” นายพิชาญกล่าว
สำหรับ การเข้าไปทำตลาดในเขต CLMV นายพิชาญกล่าวถึงแบรนด์อื่นของคนไทยที่เข้าไปในเขต CLMV ว่า ถ้าเป็นบริษัทจากเมืองไทยเจ้าไปเปิดเองยังไม่มี แต่ถ้าเป็นรูปแบบบริษัทข้ามชาติอย่าง michelin หรือ bridgestone ที่มีบริษัทแม่อยู่ประเทศอเมริกา หรือ ยุโรป ได้มีการเข้าไปทำตลาดแล้ว ดังนั้นทำให้ตนมั่นใจว่า เรามีโอกาสที่ดีกว่าบริษัทอื่นๆ ในเมืองไทย
ทั้งนี้ เคซีได้มีการเข้าไปเปิดตลาด AEC ในกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม มาประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว ซึ่งช่วงแรกยังได้รับการตอบรับจากลูกค้าน้อยมาก แต่ ปัจจุบันได้รับการตอบรับจากลูกค้ามากพอสมควรทำให้เราเติบโตขึ้นมา 10 % และในการรุกเข้าไปในครั้งนี้เราจะรุกไปเต็มตัวในรูปแบบของ เคซี คือ เราจะรุกผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ KC ทั้งหมด ได้แก่ยางรถยนต์และล้อแม็กซ์เข้าสู่ตลาด CLMV ให้ได้มากที่สุด โดยตั้งเป้าไว้ว่าประเทศลาวกับเขมร ยอดขายประเทศละ 60,000,000 บาทต่อปี และประเทศพม่ากับเวียดนามยอดขายประเทศละ 50,000,000 บาทต่อปี ซึ่งแผนในการรุกตลาดในเขต CLMV นั้น กัมพูชากับเวียดนามจะเข้าไปในรูปแบบเทรดเดอร์ ลาวจะเข้าไปจัดตั้งบริษัท และพม่าจะเป็นลักษณะร่วมทุน
สาเหตุที่เลือกรุกตลากในกลุ่มประเทศ CLMV เพราะ.เป็นเขตประเทศที่ใกล้เคียงกับบ้านเราค่อนข้างมาก ได้แก่ 1. วัฒนธรรมทั้งด้านภาษาและสังคม ที่ไม่ได้แตกต่างจากคนไทยมาก 2. ด้านระบบการขนส่งค่อนข้างดี 3. เป็นประเทศที่กำลังพัฒนาซึ่งมีโอกาสที่จะเติบโตค่อนข้างสูง และ 4. ทางรัฐบาลไทยสนับสนุนให้นักธุรกิจไทยไปลงทุนในเขต CLMV ค่อนข้างมาก ซึ่งทั้งหมดทำให้ตนมองว่าเป็นเขตเศรษฐกิจที่น่าสนใจมาก แต่ ในการรุกตลาดในเขต CLMV นั้นยังมีอุปสรรคแตกต่างกันทั้งในเรื่องของการเมืองการปกครองและเรื่องของกฎหมาย
“ตนมองตลาดยางรถยนต์และล้อแม็กซ์ในกลุ่มประเทศ CLMV นี้ยังมีโอกาสเติบโตอีกมากเพราะว่าถ้าดูดัชนีผู้บริโภคเรื่องการใช้รถยนต์หรือการออกรถยนต์ใหม่เติบโตค่อนข้างมากโดยเฉพาะในเขตเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ แล้วนอกจากนี้ยังมีประเทศจีนและเกาหลีเข้าไปลงทุนในประเทศเหล่านี้ค่อนข้างมากทำให้มีอัตราการเจริญเติบโตค่อนข้างสูง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในพฤติกรรมของผู้บริโภค คือเมื่อคนมีเงิน มีบ้านก็อยากมีรถ ซึ่งกลายเป็นปัจจัยที่เขาต้องใช้ในการดำรงชีวิตไปแล้ว ดังนั้น ตนจึงมอว่าตลาดมีโอกาสเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง”นายพิชาญกล่าวทิ้งท้าย
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสาร กิจกรรมของบริษัท เคซี วีล แอนด์ ไทร์ จำกัด หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.kcwheel.co.th , facebook : kcwheel หรือ Call center โทร. 034-466-001, 086-355-3646