- Details
- Category: คมนาคม
- Published: Friday, 25 December 2015 11:50
- Hits: 3319
9 ทางเลี่ยงรถติด-ลัดออกกรุงปีใหม่ ตร.เด้งรับ-ยึดรถเมาขับ 'ป้อม'สั่งทุกจว.-คุมเข้ม
แนะนำ 9 เส้นทางออกกรุงช่วงปีใหม่ กรมทางหลวงระบุเลี่ยงรถติดลัดออกไปภาคเหนือ อีสาน และภาคใต้ พร้อมเตือนจุดรถติดทั้ง 3 เส้นทางให้หลีกเลี่ยง 'บิ๊กป้อม'แจงมาตรการยึดรถคนเมาขับแต่ยึดกุญแจไว้ให้มารับคืนได้หลังจากหมดเทศกาลไปแล้ว ประชุมร่วมกับมหาดไทย เหล่าทัพ และตำรวจเน้นย้ำรักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันเหตุร้าย ด้านโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติเด้งรับ พร้อมทำตามบัญชาเลขาธิการคสช.ให้ด่านบูรณาการ 3 ขา ยึดรถเมาแล้วขับ
วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9158 ข่าวสดรายวัน
เปิดวันแรก - ประชาชนจำนวนมากเข้าใช้บริการภายในอาคาร 2 สนามบินดอนเมือง ที่เปิดให้บริการเป็นวันแรกสำหรับผู้โดยสารภายในประเทศ โดยเที่ยวบินแรกเปิดให้เข้า เช็กอินตั้งแต่เวลา 03.00 น.ของวันที่ 24 ธ.ค.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 ธ.ค. ที่กระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการร่วมกับผู้บริหารกระทรวงและผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ได้ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากกระทรวงกลาโหมมายังที่ประชุมผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยด้วย
ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรสั่งการให้ทุกจังหวัดดูแลความปลอดภัยประชาชนและนักท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ โดยข้าราชการปกครองและตำรวจท่องเที่ยวต้องร่วมกันวางมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่จัดงานโดยเฉพาะจุดเคานต์ดาวน์อย่างเข้มข้น อาทิ ห้างเซ็นทรัล เวิลด์ ที่ผู้ว่าฯ กทม.ต้องวางแผนร่วมกับตำรวจและทหารให้ดี นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องช่วยกันเพื่อลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ให้ได้ตามที่นายกฯ มอบนโยบายต้องการให้อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งตกงาน
จากนั้น พล.อ.อนุพงษ์ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนหรือ ศปถ. ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการดูแลรักษาความปลอดภัย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า นายกฯ ได้เน้นย้ำให้ดูแลและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดตลอดทั้งปี ไม่ใช่ทำเฉพาะช่วงเทศกาล โดยได้มีการบูรณาการร่วมกันระหว่างตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่น กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน เน้นการดูแลในถนนสายรองที่มักเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง ขณะที่ทางหลวงและถนนสายหลักจะเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างตำรวจทางหลวงและกองทัพบกจัดส่งเจ้าหน้าที่ดูแลตามจุดต่างๆ ตลอดทุกเส้นทาง โดยเฉพาะจุดเสี่ยงและจุดเฝ้าระวังอุบัติเหตุ
พล.อ.อนุพงษ์กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่าจะมีการยึดรถผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่า จะเป็นการดูแลเหมือนญาติพี่น้อง โดยจะมี เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ หากพบว่ามีเด็กๆ นั่งดื่มสุรา กำนัน ผู้ใหญ่บ้านอาจจะขอยึดกุญแจรถไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาไปขับขี่ในขณะมึนเมา ไม่ใช่การยึดรถแต่อย่างใด แต่เป็นมาตรการที่ออกมาเพราะความเป็นห่วง ดีกว่าปล่อยให้ขับขี่แล้วค่อยจับระหว่างทาง สำหรับการลดอุบัติเหตุเราจะไม่ตั้งเป้าเป็นตัวเลข แต่จะตั้งเป้าว่าไม่ให้เกิดอุบัติเหตุและความสูญเสียเลย หากจะมีก็ต้องน้อยที่สุด นอกจากนี้ ขอฝากให้ทุกภาคส่วนสร้างวินัยในการขับขี่ และสร้างวัฒนธรรมในการใช้รถใช้ถนนด้วย ซึ่งจะทำให้ลดการสูญเสียลงได้มาก ไม่ว่าจะเป็นช่วงเทศกาลหรือเทศกาลอื่นๆ เพราะการลดอุบัติเหตุส่วนหนึ่งมาจากวินัยในการใช้รถใช้ถนนของเรา การบังคับใช้กฎหมายช่วยได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 พล.อ. ประวิตรให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการการดูแลรักษาความปลอดภัยในช่วงปีใหม่ พร้อมทั้งขอให้บูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ โดยการแบ่งความรับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ว่าได้เน้นย้ำทุกเรื่องในเรื่องดูแลความปลอดภัยช่วงเทศกาลเพื่อเป็นของขวัญให้แก่ประชาชน โดยจะไม่ให้มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น
ส่วนกรณีที่ผบ.ทบ.สั่งการให้ทุกหน่วยทหารตรวจเข้มผู้ขับขี่ที่ดื่มสุรานั้น พล.อ. ประวิตรกล่าวว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย เพราะหากดื่มสุราเมาแล้วขับรถจะทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่นจนถึงขั้นเสียชีวิต สำหรับกรณีที่จะดำเนินการยึดรถผู้ขับขี่นั้นเป็นการยึดเพียงชั่วคราวแล้วก็คืน ไม่ใช่การยึดถาวร
"ส่วนพื้นที่เคานต์ดาวน์นั้นเราห่วงทุกพื้นที่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ดูแลทั้งหมดไม่ว่าจะสนามหลวง หรือเซ็นทรัลเวิลด์ ทุกพื้นที่ที่จะจัดงานเคานต์ดาวน์ เพื่อกำหนดแผนรักษาความปลอดภัยร่วมกัน นอกจากนี้ ในแต่ละพื้นที่จะมีการตั้งวอลรูมเพื่อติดตามสถานการณ์ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด ผมได้เน้นย้ำไปกับผู้ว่าราชการทุกจังหวัดให้เข้มงวดดูแลรักษาความปลอดภัย โดยบูรณาการการทำงานระหว่างทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เราจะทำให้ดีที่สุดเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน" พล.อ.ประวิตรกล่าว
ที่บช.น. พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. กล่าวถึงกรณีพล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการคสช.ระบุกรณีมีผู้เมาแล้วขับจะดำเนินการยึดรถทันทีในช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า ตนจะรับไปเป็นนโยบายในการปฏิบัติ โดยผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นหรือแม้แต่พี่น้องประชาชน สามารถเสนอความคิดเห็นได้โดยตนจะน้อมรับและนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด โดยชั่งน้ำหนักภายในกรอบของกฎกติกาสังคม เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้เป็นที่พอใจของคนส่วนใหญ่ คนดีๆ คนอื่นก็อยู่อย่างสงบ แต่คนไม่ดีเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการอย่างแน่นอน เราเชื่อว่าเราใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม เสมอภาค ไม่เอาเปรียบและแสวงหาสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ตนจะทำให้ทุกอย่างสงบเรียบร้อย ภายใต้การทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน
"เรื่องผู้ขับขี่เมาแล้วยึดรถนี้ โดยปกติก็ทำอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้รถเยอะขึ้น และทุกคนให้ความสนใจเยอะขึ้น จากการวิเคราะห์สถิติคดีอุบัติเหตุ เกิดจากเมาแล้วขับ ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ช่วงเทศกาลต้องเพิ่มความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยมาตรการนี้จะใช้ทั้งรถจักรยานยนต์และรถยนต์ด้วย หลักเกณฑ์ง่ายๆ คือหากเมาแล้วขับก็สามารถจะยึดได้ ถ้าไม่ถึง 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ก็จะทำสัญญากันหน่อยว่าหากขับรถต่อไปอาจจะเกิดอันตรายหรือไม่ หรืออาจจะให้ตำรวจขับไปส่งก็ได้" รรท.ผบช.น. กล่าว
มีรายงานด้วยว่า เอกสารลับ ด่วนที่สุดที่ 0001 (ศปก.ตร.) /23 ลงวันที่ 23 ธ.ค. เรียนผบ.ตร. รองผบ.ตร. ที่ปรึกษาสบ 10 ผู้ช่วยผบ.ตร.ในสายงาน ปป. 1-3 และสายงานศปก. เพื่อโปรดทราบตามวิทยุราชการทหารลับด่วนที่สุดที่กห.0407/1347 ลงวันที่ 18 ธ.ค. ให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองทัพภาค (กกล.รส.ทภ.) ร่วมกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตั้งจุดตรวจจุดสกัดร่วม เพื่อเป็นมาตรการรปภ. ในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชน ตลอดจนเป็นการป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตามเส้นทางช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.2558-4 ม.ค.2559 โดยเน้นตรวจผู้เมาสุราสิ่งเสพติด ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ รถโดยสารสาธารณะ ซึ่งหากตรวจพบให้ยึดรถจักรยานยนต์ไว้ สำหรับรถโดยสารสาธารณะให้ยึดใบอนุญาตขับขี่ และมอบคืนเจ้าของหลังห้วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ต่อไป
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวถึงกรณีมีข่าวว่าหากเจ้าหน้าที่พบผู้ขับขี่ดื่มสุราให้เจ้าหน้าที่ยึดรถไว้ก่อน และหลังปีเทศกาลปีใหม่จึงให้เจ้าของรถมานำคืนไปภายหลัง ว่า มาตรการดังกล่าวเป็นคำสั่งของ คสช. ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นที่ชุมชนหรือถนนสายรอง ทั้งนี้ เราจะตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่รถสาธารณะตั้งแต่ต้นทางอยู่แล้ว หากพบว่ามีแอลกอฮอล์แม้แต่ร้อยละ 1 เราก็จะไม่อนุญาตให้ขับรถทันที อีกทั้งระหว่างทางก็จะมีจุดตรวจอีก ซึ่งจะตรวจเกี่ยวกับชั่วโมงการขับขี่ ใช้ความเร็วเท่าไร และแอลกอฮอล์อีกด้วย
ด้านพล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีการยึดรถในกรณีที่ผู้ขับขี่มีอาการมึนเมาในช่วงเทศกาลปีใหม่ ว่า เราจะยึดรถจริง โดยลักษณะการตั้งด่านจะเป็นการบูรณาการร่วมกัน เรียกว่า การบูรณาการ 3 ขา ประกอบด้วย ฝ่ายปกครอง ตำรวจ และทหาร ซึ่งปี 2559 นี้จะมีการออกแบบให้ทหารมาช่วยตั้งด่านอย่างเข้มข้น และเน้นในเรื่องของการดื่มสุรา การขับขี่
"ไม่ว่าจะเป็นรถอะไร หากเมาแล้วขับ ก็จะโดนมาตรการยึดหมด เพราะตัวเราเองเป็นตำรวจ ก็จะต้องทำตามกฎหมาย ซึ่งนโยบายที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้เราทำ เนื่องจากรถ 1 คัน ที่สามารถจะตรวจยึดได้นั้น จะต้องดูทั้งพ.ร.บ.รถยนต์ พ.ร.บ.จราจรทางบก มีหลายเรื่องที่ต้องตรวจสอบ คือจะต้องดูตามคอนเซ็ปต์ หากระบุไว้ว่า 1 คน พบว่าเมาแล้วปล่อยไป คือปีหน้าจะไม่สามารถมาขับรถได้ ตรงนี้คือมาตรการที่เราจะดูแลความปลอดภัย" โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าว
ที่กระทรวงกลาโหม พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ประชุมศูนย์แก้ปัญหาความมั่นคงแบบบูรณาการที่ศาลาว่าการกลาโหม โดยวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการของ กห. มท. กทม. สตช.และหน่วยอื่นๆ ทั่วประเทศ ในการเตรียมการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งอำนวยความสะดวกการสัญจรของประชาชนในเทศกาลปีใหม่ โดยหลังรับฟังการบรรยายสรุปถึงความพร้อมในภาพรวมแล้ว พล.อ. ประวิตรกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่ได้เตรียมการและวางแผนดูแลประชา ชนเป็นอย่างดี และมอบเป็นนโยบายว่า"ทุกหน่วยงานความมั่นคง โดยเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ต้องร่วมกันดูแลอำนวยความสะดวกการสัญจรและดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อมอบเป็นของขวัญ คืนความสุขให้กับประชาชนในห้วงเทศกาลปีใหม่"
พล.ต.คงชีพ กล่าวต่อว่าพล.อ.ประวิตรกล่าวฝากถึงประชาชนด้วยความห่วงใยว่าขอให้เหตุการณ์ที่ราชประสงค์ เป็นบทเรียนของคนไทยร่วมกัน ที่จะช่วยกันป้องกัน เฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่กระทบต่อความเชื่อมั่น ความรู้สึก และการสูญเสียของคนไทยด้วยกัน เช่นนี้เกิดขึ้นอีก ขณะเดียวกันเราได้เห็นถึงความร่วมมือ ร่วมใจ ความมีน้ำใจเป็นหนึ่งเดียวกันของคนไทย ที่ร่วมกันเสียสละ ช่วยเหลือผู้ที่ประสบเคราะห์กรรมในเหตุการณ์วิกฤตที่ผ่านมา ในห้วงปีใหม่ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งความสุขนี้ เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงทุกฝ่าย มีความพยายามและตั้งใจทำงานร่วมกันอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ประชา ชนคนไทยและนักท่องเที่ยว ได้เดินทางสัญจรด้วยความสะดวก ปลอดภัย ทุกคนได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับครอบครัวในห้วงเวลาแห่งความสุข ด้วยความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันก็ต้องขอความร่วมมือประชาชนทุกคนได้เข้าใจและให้ความร่วมมือกับการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมทั้งใช้ชีวิตในช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างมีสติ ร่วมกันเฝ้าระวัง ดูแลความปลอดภัยทั้งตนเองและสังคมร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อลดการสูญเสียและสร้างสังคมปลอดภัยที่ยั่งยืนร่วมกัน
ที่กระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่หน่วยความมั่นคงออกมาตรการว่าหากพบผู้ขับขี่เมาแล้วขับรถจะดำเนินการยึดรถ และค่อยไปรับคืนในภายหลัง ว่า ในส่วนของกระทรวงยุติธรรม จะมีกรมคุมประพฤติที่คอยดูแลในเรื่องนี้ หากมีผู้กระทำความผิด นอกจากนี้ ในช่วงปีใหม่อาจจะมีกลุ่มเด็กแว้นออกมาขับขี่หรือประลองความเร็วนั้น เรื่องนี้มีกฎหมายในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอยู่แล้ว ซึ่งหากมีการกระทำความผิดซ้ำเป็นครั้งที่สองก็จะต้องดำเนินคดีกับผู้ปกครอง อย่างในพื้นที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตนก็ได้ประสานงานกับผู้กำกับในท้องที่แล้ว เกี่ยวกับการดำเนินคดีกับกลุ่มเด็กแว้นที่จับกุมได้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ จะไม่ผ่อนปรนอย่างเด็ดขาด
แนะ 9 ทางเลี่ยงลัดไปเหนือ-อีสาน-ใต้
เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. นายสราวุธ ทรงศิวิไล รองอธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ จะมีประชาชนใช้ถนนทางหลวงเพื่อเดินทางไปยังภูมิลำเนาและท่องเที่ยวในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ เป็นจำนวนมาก เพื่อให้การเดินทางสะดวก ทางหลวงขอแนะนำเส้นทางเลี่ยง ทางลัด และจุดที่คาดว่าจะมีปัญหาการจราจรติดขัดบนทางหลวงให้เป็นข้อมูลในการศึกษาเส้นทาง เพื่อลดระยะเวลาในการเดินทาง
หากจะเดินทางจากกรุงเทพฯไปยังภาคเหนือ 1.จะสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 32 (สายเอเชีย) มุ่งหน้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผ่านอ่างทอง-สิงห์บุรี-นครสวรรค์ จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดพิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ และเดินทางไปยังภาคเหนือต่อไป
เส้นทางที่ 2. เดินทางจากกรุงเทพฯ โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) มุ่งหน้าจังหวัดสระบุรี ผ่านลพบุรี-อำเภอตากฟ้า จ.นครสวรรค์ เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดพิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ และขึ้นภาคเหนือต่อไป
สำหรับ เส้นทางที่ 3. เดินทางไปภาคเหนือสามารถออกจากกรุงเทพฯ โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 340 มุ่งหน้าจังหวัดสุพรรณบุรี ผ่านชัยนาท เพื่อเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) มุ่งหน้าอำเภอพยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 122 (ทางเลี่ยงเมืองจังหวัดนครสวรรค์) เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดกำแพงเพชร ตาก ลำปาง และเชียงใหม่ต่อไป
นายสราวุธ กล่าวต่อว่า ส่วนที่จะเดินทางจากกรุงเทพฯไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน)สามารถเดินทางได้ 3 เส้นทาง ประกอบด้วย 1.เดินทางจากกรุงเทพฯโดยใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) มุ่งหน้าจังหวัดสระบุรี ผ่านอำเภอม่วงค่อม (ทางหลวงหมายเลข 205) อำเภอท่าหลวง (ทางหลวงหมายเลข 2256)-อำเภอด่านขุนทด (ทางหลวงหมายเลข 2148)-อำเภอขามทะเลสอ (ทางหลวงหมายเลข 2068) เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมาต่อไป
เส้นทางที่ 2. เดินทางจากกรุงเทพฯโดยใช้ทางหลวงหมายเลข 305 (รังสิต-นครนายก) มุ่งหน้าจังหวัดนครนายก ผ่านอ.บ้านนา จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ผ่านอ.แก่งคอย-อ.ปากช่อง เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมาต่อไป
เส้นทาง 3 สามารถเดินทางจากกรุงเทพฯโดยใช้ทางหลวงหมายเลข 314 (บางปะกง-ฉะเชิงเทรา) มุ่งหน้าจังหวัดฉะเชิงเทรา จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 304 ผ่านอ.พนมสารคาม-อ.กบินทร์บุรี-อ.วังน้ำเขียว-อ.ปักธงชัย เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมาต่อไป
นายสราวุธ กล่าวต่อว่าสำหรับเส้นทางที่ประชาชนจะใช้เดินทางจากกรุงเทพฯไปยังภาคใต้นั้น จะมี 3 เส้นทางหลักคือ 1.เดินทางจากกรุงเทพ โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนธนบุรี-ปากท่อ/ถนนพระราม 2 ) มุ่งหน้าจังหวัดสมุทรสาคร ผ่านสมุทรสงคราม-แยกวังมะนาว จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และเดินทางไปยังภาคใต้ต่อไป
เส้นทางที่ 2. เดินทางจากกรุงเทพฯ โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) มุ่งหน้าอำเภอสามพราน ผ่าน อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม-ราชบุรี-แยกวังมะนาว-เพชรบุรี เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ไปยังภาคใต้ต่อไป
เส้นทางที่ 3. เดินทางจากกรุงเทพฯ โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 338 (ถนนบรมราชชนนี /ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี) จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) มุ่งหน้าอ.นครชัยศรี ผ่านจ.นครปฐม-ราชบุรี-วังมะนาว-เพชรบุรี เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และเดินทางไปยังภาคใต้
นายสราวุธกล่าวต่อว่า ซึ่งจากเส้นทางที่ทางหลวงแนะนำต่างๆ นั้น ก็ยังมีข้อกังวล จุดที่คาดว่าจะมีปัญหาการจราจรติดขัด กรณีไปภาคเหนือ จะพบว่าจุดที่ติดขัดทุกๆครั้งที่เทศกาล จะพบดังนี้คือ เมื่อประชาชนลงทางลงโทลล์เวย์,บริเวณต่างระดับบางปะอิน อ.ไชโย จ.อ่างทอง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี, บริเวณทางแยกเลี่ยงเมืองนครสวรรค์ สะพานเดชาติวงศ์ ทางแยกหนองตะโก เข้าเลี่ยงเมืองนครสวรรค์
ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะพบว่าจราจรติดขัดหนักคือ บริเวณต่างระดับบางปะอิน,บริเวณจ.สระบุรี และบริเวณ ต.ทับกวาง จ.สระบุรี, เนินพระใหญ่ ต.กลางดง ลำตะคอง,บริเวณต่างระดับสี่คิ้ว ต่างระดับจอหอ จ.นครราชสีมา และบริเวณแยกเลี่ยงเมืองนครราชสีมา แยกตลาดแค อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา, แยกบ้านวัด อ.คง จ.นครราชสีมา, อ.พล อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น และบริเวณ เขาขาด เขาหินซ้อน อ.นาดี ช่องตะโก จ.ปราจีนบุรี
นายสราวุธกล่าวต่อว่า ส่วนเส้นทางลงภาคใต้ พบว่าจราจรจะติดขัดบริเวณถนนพระราม 2 ก.ม.17-18 จ.สมุทรสาคร วัดเกตุมดีศรีวราราม (วัดเกตุม) และ ถนนเพชรเกษม ต่างระดับ ว.อุดร (ถนนบรมราชชนนีตัดถนนเพชรเกษม), จุดก่อสร้างแยกบ่อตะกั่ว จังหวัดนครปฐม, จุดก่อสร้าง แยกเจดีย์หัก จ.ราชบุรี / แยกวังมะนาว จ.เพชรบุรี นอกจากนั้นในส่วนของภาคตะวันออกจุดติดขัดพบว่าบริเวณ จุดซ่อมทางเขตบ้านบึง จ.ชลบุรี, แยกอ.แกลง จ.ระยอง, จุดก่อสร้างต่าง ระดับคีรี (ชลบุรี-พัทยา) / เขตเมืองพัทยา
ทั้งนี้ กรมทางหลวงได้สั่งการให้สำนักงานทางหลวงทั่วประเทศ ลงพื้นที่เพื่อเร่งอำนวยความสะดวก หากประชาชนผู้ใช้เส้นทางดังกล่าวสงสัย สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์กรมทางหลวง www.doh.go.th (เส้นทางลัด ทางเลี่ยง) หรือ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทร.ฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)