- Details
- Category: คมนาคม
- Published: Tuesday, 21 July 2015 11:24
- Hits: 4625
ดอนเมืองเลิก เข้มตรวจเป๋า แฉอินโดฯก็ห้าม ไทยเพิ่มเที่ยวบิน
คมนาคมยอมถอย ดอนเมืองเลิกตรวจเข้มกระเป๋าถือก่อนเช็กอิน โดยให้กลับไปใช้มาตรการเดิม หลังผู้โดยสารเดือดร้อน-รอคิวยาวเหยียด แต่ยังเอกซเรย์กระเป๋าโหลดไว้ใต้ท้องเครื่องบิน ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมปรับลดให้เผื่อเวลาเช็กอิน ในประเทศ 1 ช.ม. ส่วนต่างประเทศ 2 ช.ม. 'บิ๊กจิน' สั่งเพิ่ม 32 จนท.ช่วยสังเกตไม่ให้ ผู้โดยสารนำสิ่งของใส่กระเป๋าหลังตรวจ เร่งวางแผนแก้ไขระยะยาว ขออภัยผู้โดยสารที่ทำวุ่น พร้อมยอมรับอินโดฯ ห้ามสายการบินของไทยเพิ่มเที่ยว-เปลี่ยนอากาศยาน ระบุมีมาตรการนี้นานแล้ว
วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9001 ข่าวสดรายวัน
ดอนเมือง - พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม รุดดูปัญหาการตรวจค้นผู้โดยสารขาออก สนามบินดอนเมือง อย่างเข้มงวดกว่าเดิมจนกระทบต่อผู้โดยสาร สุดท้ายต้องสั่งให้ผ่อนคลายความเข้มข้นลง เมื่อวันที่ 20 ก.ค.
เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่กระทรวงคมนาคม พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม กล่าวถึงผลกระทบจากกรณีสนามบินดอนเมืองมีมาตรการรักษาความปลอดภัยตรวจกระเป๋าเข้มงวด จนทำให้ผู้โดยสารหลายคนตกเครื่องว่า เหตุผลที่สนามบินดอนเมืองต้องออก มาตรการตรวจเช็กกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากกรมการบินพลเรือน (บพ.) ตรวจพบว่าสนามบินดอนเมืองยังมีช่องว่าเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสนามบิน จึงแนะนำให้สนามบินดอนเมืองปรับมาตรการให้ได้ตามมาตรฐานไอเคโอ โดยยอมรับว่ามาตรการตรวจเช็กที่เข้มงวด ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการสายการบินที่ดอนเมือง เบื้องต้นอาจใช้วิธีเพิ่มจำนวนเครื่องมือการตรวจเช็กให้มาก เพราะจากปัจจุบันที่ต้องรอนานถึง 2-3 ช.ม. ซึ่งถือว่านานเกินไป
"ยอมรับว่าพื้นที่สนามบินดอนเมืองคับแคบ ทำให้เกิดปัญหาการแออัด การเพิ่มจุดตรวจคงทำได้ยาก แต่การเพิ่มมาตรการเอกซเรย์ในครั้งนี้จะส่งผลดี ทำให้รู้ว่าของในกระเป๋าสัมภาระมีรูปร่างแบบใด เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถวิเคราะห์ว่ามีอะไรในกระเป๋า มีวัตถุต้องห้ามอยู่ข้างในหรือไม่ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องหาข้อยุติให้ได้ว่าระหว่างบริการที่รวดเร็วและความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน" พล.อ.อ.ประจินกล่าวและว่า ขณะนี้บพ.อยู่ระหว่างเร่งทยอยตรวจสอบมาตรฐานรักษาความปลอดภัยของสนามบินทั่วประเทศตามคำแนะนำของไอเคโอ โดยหากตรวจพบว่ามีปัญหาก็จะเสนอให้แต่ละสนามบินแก้ไขด้วยการปรับมาตรการให้เข้มงวดมากขึ้น
พล.อ.อ.ประจิน กล่าวถึงกระแสข่าวที่อินโดนีเซียออกมาตรการไม่อนุญาตให้สายการบินของไทยเส้นทางประจำเปลี่ยนแปลงเพิ่มเที่ยวบิน เปลี่ยนแปลงแบบหรือประเภทอากาศยาน ส่วนสายการบินแบบเช่าเหมาลำจะตรวจสอบเข้มงวดมากขึ้นว่า อินโดนีเซียออกมาตรการดังกล่าวบังคับใช้กับประเทศ ไทยจริง โดยทางการอินโดนีเซียแจ้งฝ่ายไทยรับทราบผ่านกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นมาตรการเก่าที่อินโดฯและอีกหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น นำมาใช้กับไทย หลังจากไทยถูกตรวจพบความไม่ปลอดภัยด้านการบินโดยองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอเคโอ)
พล.อ.อ.ประจินกล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการครั้งนี้ไม่ได้ห้ามสายการบินไทยของไทยบินเข้าอินโดนีเซีย แต่เป็นการห้ามเพิ่มเที่ยวบินและเปลี่ยนแปลงแบบอากาศยานที่จะบินเข้าไปยังอินโดนีเซีย เฉพาะสายการบินที่มีเส้นทางบินประจำเท่านั้น ส่วนสายการบินแบบเช่าเหมาลำหรือชาร์เตอร์ไฟลต์ ไม่ได้ห้ามเพิ่มเที่ยวบินยังคงบินได้ตามปกติ แต่จะตรวจสอบมาตรฐานความสมควรเดินอากาศเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะรวมไปถึงความพร้อมและมาตรฐานของนักบินและลูกเรือด้วย
"อินโดนีเซียออกมาตรการนี้มานานแล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมเพิ่งมาเป็นข่าว ซึ่งการออกมาตรการของอินโดฯ ก็สอดคล้องกับประเทศ อื่นๆ ก่อนหน้านี้ที่ห้ามเพิ่มจำนวนเที่ยวบินจากไทย ไม่ได้มีนัยอะไรที่แตกต่างจากเดิม ยืนยันว่ามาตรการดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบินของไทย เพราะปัจจุบันมีการบินไทยเพียงสายการบินเดียวเท่านั้นที่บินไปอินโดฯ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มเที่ยวบิน เนื่องจากจำนวนเที่ยวบินมีความเพียงพอกับความต้องการของลูกค้าอยู่แล้ว คือ บินตรงไปยังบาหลี 7 เที่ยวต่อสัปดาห์ และจาการ์ตา 10 เที่ยวต่อสัปดาห์ ส่วนชาร์เตอร์ไฟลต์ปัจจุบันยังไม่มีสายการบินจากไทยทำการบินไปยังอินโดนีเซีย" พล.อ.อ.ประจินกล่าว
พล.อ.อ.ประจิน กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ทูตเกาหลีใต้เข้าพบหารือข้อราชการกับตนและแจ้งข่าวดีว่า ทางการเกาหลีใต้อนุมัติให้สายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ สามารถเพิ่มเที่ยวบิน เส้นทางกทม.-โซล ในช่วงโปรแกรมฤดูร้อนแล้ว จำนวน 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เนื่องจากเกาหลีมีความเชื่อมั่นและพอใจการแก้ไขปัญหาเอสเอสซีของไทย โดยจะเริ่มทำการบินตั้งแต่ต.ค.นี้เป็นต้นไป
พล.อ.อ.ประจิน กล่าวด้วยว่า ส่วนความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างบพ. ในเรื่องของการจัดตั้งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระทำหน้าที่กำกับดูแลมาตรฐานการบินของไทยนั้น กระทรวงจะไม่เสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคสช. ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 จัดตั้งกพท.แล้ว แต่จะกลับมาใช้กฎหมายปกติในการจัดตั้งแทน เพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวมีผลบังคับใช้แบบยั่งยืนและไม่กระทบต่อความรู้สึกของต่างชาติ หากรัฐบาลใช้อำนาจคสช.มาปรับโครงสร้างหน่วยงาน
"ที่เราตัดสินใจกลับมาใช้กฎหมายปกติ ไม่ได้ถูกกดดันจากต่างชาติหรือใครทั้งนั้น แต่คิดเองว่าถ้าต้องการให้หน่วยงานยั่งยืนควรใช้กฎหมายปกติจัดตั้ง ซึ่งขณะนี้ได้ระดมผู้ทรงคุณวุฒิมาช่วยกันจัดทำขั้นตอน โดยเชื่อมั่นว่าหน่วยงานดังกล่าวจะสามารถมีผลบังคับใช้ทันตามเป้าหมายหมายที่ตั้งไว้ในวันที่ 1 ต.ค.แน่นอน" พล.อ.อ.ประจินกล่าว
ต่อมาพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ลงพื้นที่ตรวจสนามบินดอนเมือง หลังใช้มาตรการเข้มงวดตรวจเอกซเรย์กระเป๋าผู้โดยสารขาออกตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา จนส่งผลให้เกิดความหนาแน่นของผู้โดยสาร โดยพล.อ.อ. ประจินกล่าวภายหลังการตรวจสอบว่า ล่าสุดทอท.หารือกับกรมการบินพลเรือนแล้ว โดยจะปรับใช้มาตรการเดิมตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. เป็นต้นไป พร้อมยกเลิกการเอกซเรย์กระเป๋าถือก่อนเช็กอิน เหลือเอกซเรย์เฉพาะกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องบิน ทั้งผู้โดยสารในและต่างประเทศ
"ที่ผ่านมามีการท้วงติงจากกรมการบินพลเรือนว่า พื้นที่เช็กอินของดอนเมืองอาจมีผู้โดยสารลักลอบนำของต้องห้ามใส่กระเป๋าถือ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยง แต่ขณะที่เรามีมาตรการแก้ไขตามมาตรฐานไอเคโอ และสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐ (เอฟเอเอ) ซึ่งขณะนี้มี 8 ช่องทางเข้าที่เป็นคอขวด จึงต้องปรับมาตรการตรวจเป็นแบบเดิม" รมว.คมนาคมกล่าวและว่า นอกจากนี้ทอท.จะเพิ่มเจ้าหน้าที่อีก 32 คน ช่วยสังเกตไม่ให้ผู้โดยสารนำสิ่งของที่ไม่ได้เอกซเรย์ไปใส่ในกระเป๋าที่ผ่านการเอกซเรย์แล้ว ยังกำชับให้พนักงานสายการบินตรวจดูกระเป๋าที่จะโหลด หากพบว่าสติ๊กเกอร์ที่ติดหลังการสแกนบริเวณกระเป๋าชำรุดหรือขาด ผู้โดยสารจะต้องนำกระเป๋ากลับไปผ่านเครื่องเอกซเรย์ในจุดแรกอีกครั้ง
พล.อ.อ.ประจิน กล่าวอีกว่า มอบหมายให้บพ. ทอท. ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ วางแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาว ซึ่งตนต้องขออภัยผู้โดยสารในความไม่สะดวกในการใช้บริการสนามบินดอนเมืองด้วย แต่หลังจากปรับมาตรการใหม่แล้ว จะลดเวลาการให้บริการกลับไปเหมือนเดิม โดยในประเทศใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ช.ม. และต่างประเทศไม่น้อยกว่า 2 ช.ม.
ขณะที่นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า ยอมรับมาตรการตรวจอย่างเข้มข้นที่สนามบินดอนเมืองมีความผิดพลาด ในเรื่องของการไม่ได้ประเมินถึงสถานการณ์ในช่วงวันหยุด ซึ่งเป็นช่วงที่มีผู้โดยสารเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก รวมถึงไม่ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องของเครื่องมือและเจ้าหน้าที่ ล่าสุดสั่งให้นำเครื่องเอกซเรย์ขนาดเล็กที่มีสำรองอยู่ 2 เครื่องมาติดตั้งเพิ่มเติมแล้ว พร้อมสั่งเพิ่มเจ้าหน้าที่ในบริเวณจุดตรวจค้นดังกล่าว
ด้านนางปาริชาต คชรัตน์ อธิบดีบพ. กล่าวถึงกรณีอินโดนีเซียออกมาตรการไม่อนุญาตให้สายการบินของไทยเส้นทางประจำเพิ่มเที่ยวบินและเปลี่ยนอากาศยานว่า อินโดนีเซียบังคับใช้มาตรการดังกล่าวกับไทยมาตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมาแล้ว เบื้องต้นบพ.อาจจำเป็นต้องขอหารือกับตัวแทนของกระทรวงคมนาคมอินโดนีเซีย เพื่อขอให้ยกเลิกหรือผ่อนผันมาตรการดังกล่าวออกไปก่อน แต่ขณะนี้ยังไม่มีสายการบินของไทยร้องเรียนถึงความเดือดร้อนจากมาตรการ ดังกล่าวมายังบพ. ซึ่งปัจจุบันมีเพียงสายการบินไทยเท่านั้นที่บินไปยังอินโดนีเซีย ส่วนเครื่องบินแบบเช่าเหมาลำไม่ได้รับผล กระทบ เพราะไม่ได้ห้ามเพิ่มเที่ยว
นางปาริชาต กล่าวอีกว่า ขณะนี้กองมาตรฐานรักษาความปลอดภัยของบพ. กำลังเร่งสอบมาตรฐานความปลอดภัยสนามบินของไทยทั้งหมด ล่าสุดกำลังตรวจสอบที่สนามบินหาดใหญ่ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือก่อนการตรวจสอบมาตรฐานสนามบินของไทย เดิมไอเคโอแจ้งว่าจะเข้ามาตรวจสอบช่วงต้นปี 2559 แต่ล่าสุดตัวแทนไอเคโอประจำภูมิภาคแจ้งว่าอาจเลื่อนเวลาเข้ามาตรวจสอบไทยออกไปอีก 1 ปี โดยคาดว่าอาจเข้ามาตรวจช่วงต้นปี 2560