- Details
- Category: คมนาคม
- Published: Monday, 11 May 2015 00:33
- Hits: 1770
ยกเครื่องรถสาธารณะบี้ใช้ไฟฟ้าแทนดีเซล
ไทยโพสต์ : คมนาคม * ‘ประจิน’สั่งยกเครื่องรถสาธารณะทั้งระบบ’รถ ไฟ-รถเมล์-บ.ข.ส. ใช้พลังงานไฟฟ้าแทนดีเซลและเอ็นจีวี ชี้ระยะยาวคุ้มกว่า ไร้มลพิษ
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้ให้นโยบายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) และบริษัท ขนส่ง จำกัด (บ.ข.ส.) ไปจัดทำแผนการนำรถพลังงานไฟฟ้ามา ใช้แทนรถดีเซล เพื่อลดการใช้ พลังงานที่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวด ล้อม และช่วยประหยัดพลังงานน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติที่มีราคาสูงขึ้น และมีความผันผวน
"นโยบายที่ผมตั้งใจทำถัดจากนี้ คือ ต้องการให้ประชาชนเดินทางอย่างปลอดภัย รวมถึง เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องการใช้พลังงาน เช่น เปลี่ยนจากรถ เมล์เอ็นจีวีเป็นรถไฟฟ้า ซึ่ง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะระยะยาวการใช้รถเมล์ไฟฟ้าประหยัดกว่า ขณะเดียวกัน ตั้งใจด้วยว่าอนาคตรถไฟไทยจะต้องเปลี่ยนมาใช้ระบบรถไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2575 โดยจะไม่เหลือรถไฟดีเซลอีกแล้ว พร้อมกับให้ ร.ฟ.ท.ไปปรับวิธีการจัดหาหัวรถจักรใหม่ โดยใช้วิธีเช่าแทนการซื้อขาด เพื่อให้ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีรถไฟให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา" พล.อ.อ.ประจินกล่าว
ทั้งนี้ มั่นใจว่าหากเปลี่ยน รถโดยสารสาธารณะมาใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด จะไม่กระทบต่อการใช้ไฟฟ้าในประเทศแน่นอน โดยในส่วนของรถไฟฯ ประเมินว่าจะใช้ไฟฟ้าเพิ่ม 1-2% หรือ 500 เมกะวัตต์ จากการใช้พลังงานไฟฟ้าทั่วประเทศ 26,000 เมกะวัตต์ ซึ่งหลังจากนี้รัฐบาลมีแผนสร้างแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมในภาคอีสานเพิ่มเติม
สำหรับ โครงการนำร่องจะเริ่มใช้รถไฟพลังงานไฟฟ้าเส้นทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ เชื่อมกับมาเลเซีย ในปี 2560 ขณะที่รถไฟทางคู่ไทย-จีน ขนาดราง 1.435 เมตร จะใช้พลังไฟฟ้าซึ่งนำเข้าจาก สปป.ลาว
ส่วนการจัดหารถเมล์ ขสมก. รอบแรก 489 คัน ยังคงเป็นรถเมล์เอ็นจีวีอยู่ ซึ่งจะรับมอบและให้บริการได้ในเดือน ก.ค. 2558 แต่การจัดหาระยะต่อไปอีก 2 พันกว่าคัน จะเปลี่ยนเป็นรถเมล์พลังไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานผลศึกษาเบื้องต้นแล้ว หากใช้รถเมล์ไฟฟ้า แม้ต้นทุนการซื้อรถจะแพงกว่ารถเมล์ธรรมดา 3 เท่า แต่ในระยะยาวการใช้พลังงานจะคุ้มค่าและประหยัดค่าบำรุงรักษากว่า โดยจะพิจารณาและเสนอให้ ครม.รับทราบในเดือน พ.ค.นี้.