- Details
- Category: การตลาด
- Published: Sunday, 30 July 2017 09:00
- Hits: 2984
ขายดี (Kaidee) แหล่งซื้อ-ขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและ รถขายดี (RodKaidee) ตลาดซื้อ-ขายรถออนไลน์ เปิดเผยตัวเลขที่น่าสนใจในครึ่งปีแรกของปี 2560 คาดครึ่งปีหลังจะเติบโตขึ้นอีก 100%
ผลประกอบการของ Kaidee/RodKaidee ในครึ่งปีแรกของปี 2560
นายทิวา ยอร์ค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร/เฮดโค้ช Kaidee ได้เผยถึงการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของแพลตฟอร์ม Kaidee พบว่ามีเงินสะพัดจากของที่ขายได้กว่า 30,000 ล้านบาท โดยมีประกาศใหม่เข้ามากว่า 5 ล้านประกาศ และมีิสินค้าบนแพลตฟอร์มที่ขายได้กว่า 900,000 รายการ โดยเฉพาะในเดือน มิถุนายน นับเป็นเดือนที่มีมูลค่า ซื้อ-ขาย สูงสุดถึง 7,300 ล้านบาท
“จากตัวเลขเราพบว่าผู้ที่ลงประกาศใน Kaidee จะสามารถขายสินค้าได้ภายในระยะเวลา 3-4 วัน ในกรณีที่ไม่สามารถขายได้ตามกรอบเวลาดังกล่าว เราเชื่อว่ามีจากปัจจัยมาการตั้งราคาที่อาจจะสูงเกินไป หรืออาจจะขายสินค้าที่เป็นแบรนด์ หรือประเภทที่ขายได้ยาก “
สำหรับ ตัวแอปฯ Kaidee เอง จากสถิติ 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่ามีพฤติกรรมการใช้งานผ่านมือถือกว่า 80% โดยเฉพาะในวันอาทิตย์ ทางนักพัฒนาจึงมีการปรับหน้าตาแอปให้เหมาะสมกับการใช้งานพร้อมเพิ่มระบบแชท ซึ่งในครึ่งปีที่ผ่านมาก็มีผู้ดาวน์โหลดตัวแอปฯกว่า 1.64 ล้านครั้ง นับเป็นผู้ใช้งานกว่า 11 ล้านคน
“พฤติกรรมการใช้แอปฯของคนไทยเปลี่ยนไป เราจึงทำหน้าแอปฯให้มีสีสันมากขึ้น เข้าถึงหมวดต่างๆได้ง่ายขึ้น และนับตั้งแต่เราเพิ่มระบบแชทเข้าไปก็สังเกตได้ว่ามีการใช้งานระบบนี้กันมากขึ้น ซึ่งระบบแชทของเรามีข้อดีที่มีความเป็นส่วนตัว และในกรณีที่มีปัญหาทีมงานของ Kiadee ก็สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้ทันที”
ช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูงสุดคือ วันอังคาร เวลา 19.00-22.00 น. ส่วนคำค้นยอดนิยมคือ MSX,PCX,Adidas ,Coach และ หลวงพ่อเงิน สำหรับหมวดที่มีการลงประกาศมากที่สุดคือ มือถือและแท็บเล็ต ,อสังหาริมทรัพย์ ,รถยนต์,เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และมอเตอร์ไซค์
ขณะที่ RodKaidee แบรนด์รองของ Kiadee ที่เน้นเรื่องการซื้อ-ขาย รถยนต์เป็นหลัก ในครึ่งปีแรกก็มีรถยนต์ที่ขายได้มากกว่า 15,560 ล้านบาท โดยในแต่ละวันจะมีการประกาศขายรถมากกว่า 80,000 คัน และมีผู้เข้ามาใช้งานในแต่ละเดือนมากถึง 4.1 ล้านคน โดยที่มีคนเข้ามาเลือกชม ซื้อ และขายรถกันมากกว่า 256 ล้านเพจวิว
ในแต่ละวันมีรถจากแพลตฟอร์มที่ถูกขายไปกว่า 415 คัน หากนับเฉพาะครึ่งปีแรกขายไปแล้วกว่า 56,700 คัน โดยแบรนด์ที่ได้รับความนิยมประกอบด้วย Honda,Toyota,Isuzu,Nissan และ Mitsubishi สำหรับคำค้นที่ได้รับความนิยมในช่วงเดือน มกราคม-มิถุนายน ได้แก่ รถกระบะ ,4WD ,Toyota Altis ,Jazz และCR-V
อีกหมวดที่มาแรงคือ 'อสังหาริมทรัพย์'มีมูลค่าการ ซื้อ-ขาย กว่า 9 พันล้านบาท จาก 6,639 รายการที่ลงประกาศ คิดเป็น 30% ของมูลค่าการซื้อ-ขาย บน Kaidee ทั้งหมด และในแต่ละเดือนจะมีผู้ใช้งานมากกว่า 2.2 ล้านคน เข้ามาเลือกชม ซื้อ-ขาย กว่า 104 ล้านเพจวิว นับเป็นหมวดที่มีโอกาสจะถูกสร้างเป็นแบรนด์ย่อยตามรอยของ RodKaidee
นอกจากนั้นแล้วทาง Kaidee เองก็ได้ร่วมมือกับทางคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการทำวิจัยเรื่องตลาดผู้บริโภคในประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการศึกษาของนิสิตและนักศึกษาไทย รวมทั้งยังได้ทำงานวิจัยการใช้ Machine Learning สำหรับตลาดซื้อ-ขายของออนไลน์กับเทเลนอร์ กรุ้ป จากนอร์เวย์อีกด้วย
“Machine Learning เป็นเทรนด์ใหญ่ของทั่วโลก ซึ่งเราก็ได้ไปจับมือกับ เทเลนอร์ กรุ๊ป บริษัทแม่ของ ดีแทค ในการพัฒนา Machine Learning ด้านภาพไว้สำหรับจัดหมวดหมู่และคัดกรองสินค้าโดยดูจากภาพที่อัพโหลดในประกาศ ซึ่งคาดว่าในปีหน้าน่าจะเปิดให้ใช้กันมากขึ้น”
ทิศทางธุรกิจในครึ่งปีหลัง
ในครึ่งปีหลังนี้ Kaidee จะผลักดันการซื้อ-ขายของมือสองออนไลน์เติบโตอีก 100% จากปีที่ผ่านมา และก็มุ่งสร้างแพลตฟอร์มเพื่อการซื้อ-ขายออนไลน์นี้ให้เปิดกว้างแก่ทุกคน โดยไม่จำเป็นแค่ว่าจะต้องมาขายของมือสองเท่านั้น ส่วนแอปฯ ก็จะพัฒนาให้ตอบโจทย์การใช้งานได้รายบุคคล โดยใช้สถิติและข้อมูลมาวิเคราะห์และแสดงผล
“แอปฯ เป็นอีกยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ Kaidee ที่เราตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 100% เช่นกัน เนื่องจากเรามองว่าแอปฯเป็นช่องทางที่ทำให้เราได้สื่อสารกับลูกค้าง่ายขึ้นโดยไม่ต้องจำ URL เนื่องจากเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในสมาร์ทโฟนอยู่แล้ว”
ขณะที่ตลาด RodKaidee ก็จะมีการแตกเซกชั่นสำหรับ 'รถยนต์เพื่อการพาณิชย์'โดยเฉพาะ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานในเซกเม้นต์นี้ที่เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ Kiadee ยังมีแผนที่จะยกตลาดออนไลน์มาสู่ออฟไลน์ ให้ผู้ซื้อ-ผู้ขายมาเจอกัน ในลักษณะตลาดสุดสัปดาห์ที่ใหญ่ที่สุด โดยครั้งแรกนี้จะจัดขึ้นในต้นเดือนกันยายนนี้ ที่ MBK Center และมีแผนที่จะขยายโมเดลตลาดดังกล่าวไปจัดทั่วประเทศ
“ในส่วนรายได้ของ Kaidee จะมาจาก 2 ส่วน โดยรายได้หลักๆของเรา 60% จะมาจากตัวบริการเสริมที่จะช่วยดึงประกาศขายสินค้าที่ตกหายลงไปให้กลับมาอยู่ในหน้าแรกๆอีกครั้ง และอีกบริการคือ Top Ads ที่จะทำให้ตัวประกาศค้างอยู่ในหน้าแรก ขณะที่รายได้อีก 40% จะมาจาก Native Ads ที่เพิ่งเปิดใช้เมื่อเดือนที่ผ่านมา ขณะที่การเปิดตลาดออฟไลน์จะไม่ได้เน้นเรื่องของรายได้แต่จะเป็นกิจกรรมสนับสนุนผู้ขายมากกว่า”