- Details
- Category: การตลาด
- Published: Saturday, 29 April 2017 13:22
- Hits: 5251
ดีโด้ ทุ่มงบ 200 ล้าน เปิดตัว 'มาริโอ้'เจาะคนรุ่นใหม่ และ บุกตลาดอาเซี่ยน CLMV
บริษัท ฟู้ดสตาร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้พร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์ 'ดีโด้' ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่ม ล่าสุดใส่เกียร์เดินหน้าลุยตลาดเต็มพิกัดด้วยการเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่นักแสดงขวัญใจชาวไทยที่ดังไกลไปทั่วเอเชีย ‘โอ้ มาริโอ้ เมาเร่อ’ ขึ้นแท่นพรีเซนเตอร์เบอร์หนึ่ง สะท้อนบุคลิกของแบรนด์น้ำผลไม้พร้อมดื่มอันดับหนึ่ง เจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงานพร้อมปูพรมตลาดอาเซียน บุกเมียนมาร์ ลาว กัมพูชาและเวียดนาม มั่นใจรายได้โต 20% แตะ 4 พันล้านบาทในสิ้นปีนี้
คุณจันทรา พงศ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดสตาร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้พร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์ ‘ดีโด้’ เปิดเผยผลการดำเนินงานของฟู้ดสตาร์ในปี 2559 (ปีที่ผ่านมา) รายได้อยู่ที่ 3,200 ล้านบาท เติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา “เพื่อต่อยอดความสำเร็จของดีโด้บริษัทฯ ต้องการที่จะขยายตลาดในกลุ่มเป้าหมายสังคมเมืองให้มากขึ้น โดยการสร้างแบรนด์ให้ดูทันสมัย และจะเป็นโอกาสในการสร้างยอดขายให้มากขึ้นอีกด้วย จึงได้ทำการเลือกแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ ที่มีภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคมเป็นที่รู้จักและชื่นชอบของคนทั่วไปทั้งในประเทศและตลาดอาเซียน เพื่อจะเป็นตัวแทนดีโด้ในการส่งความสดชื่นของสินค้าไปสู่ผู้บริโภคจึงได้เลือก “โอ้ มาริโอ้ เมาเร่อ” ที่จะช่วยสะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ “ดีโด้” ในฐานะผู้นำตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มอันดับหนึ่งของไทยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ผลไม้พร้อมดื่มที่มีรสชาติหลากหลาย ต่อไปในอนาคต ” คุณ จันทรา กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับ การทำตลาดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทฯ ใช้งบกว่า 200 ล้านบาท เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ มี “มาริโอ้ เมาเร่อ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ภายใต้คอนเซ็ปต์“ส่งต่อความสดชื่น...สะใจ ได้ทุกที่ ทุกเวลา” โดยจะเริ่มออนแอร์ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2560 เป็นต้นไป พร้อมกันกับประเทศเมียนมา และลาวซึ่งจะมีการแปลเป็นภาษาท้องถิ่น จากนั้นจะออกอากาศในประเทศกัมพูชาและเวียดนามเพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำในตลาดอาเซียนโดยตลอดทั้งปีจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ต่อเนื่อง ทั้งไลน์สินค้าใหม่และรสชาติใหม่
ปัจจุบันตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มมีมูลค่า 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ น้ำผลไม้ 100% มีมูลค่า 5 พันล้านบาท น้ำผลไม้ 40 - 90% มีมูลค่า 1,900 ล้านบาท น้ำผลไม้ 20 - 39% มูลค่า 3.3 พันล้านบาท และอื่นๆ อีก 1,300 ล้านบาท ขณะที่ดีโด้อยู่ในกลุ่มตลาดน้ำผลไม้ 20 - 39% หรือกลุ่มอีโคโนมี และกลุ่มซุปเปอร์อีโคโนมี โดยมีส่วนแบ่งกว่า 40% ขณะที่ภาพรวมตลาดน้ำผลไม้ในปีนี้มองว่าจะมีทิศทางดีขึ้น
จากกิจกรรมส่งเสริมการขาย และสร้างตลาดใหม่ในกลุ่มน้ำผลไม้จากต่างประเทศ รวมถึงการบริโภคน้ำผลไม้ของคนไทยที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ยังได้ทุ่มเงินกว่า 700 ล้านบาทดำเนินกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก ลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ที่ทันสมัยมาเพิ่มกำลังการผลิต รวมถึงสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นใหม่เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในแง่ของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยมุ่งเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน ทั้งตลาดในประเทศไทยและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม)
ปัจจุบันตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มมีมูลค่า 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ น้ำผลไม้ระดับพรีเมี่ยม มีมูลค่า 5 พันล้านบาท น้ำผลไม้ระดับกลาง มีมูลค่า 1,900 ล้านบาทน้ำผลไม้อีโคโนมี่และซุปเปอร์อีโคโนมี่ มูลค่า 3.3 พันล้านบาท และอื่นๆ อีก 1,300 ล้านบาท ขณะที่ดีโด้อยู่ในกลุ่มตลาดน้ำผลไม้ กลุ่มซุปเปอร์อีโคโนมี โดยมีส่วนแบ่งกว่า 40% ขณะที่ภาพรวมตลาดน้ำผลไม้ในปีนี้ แม้สภาพเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่เชื่อว่าจะมีทิศทางดีขึ้นจากกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆรวมถึงการสร้างตลาดในต่างประเทศ ในภูมิภาคอาเซี่ยน
โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) มีการเติบโตของธุรกิจเครื่องดื่มอย่างน่าจับตา ดังนั้นทิศทางของการเข้าไปบุกตลาดดังกล่าวจะมีความเข้มข้นมากขึ้น เริ่มต้นจากค้าขายผ่านชายแดน ไปสู่การหาตัวแทนจำหน่ายในตลาดที่มีศักยภาพและมียอดขายเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ อย่างเมียนมาร์ ซึ่งบริษัทมีแผนสร้างแบรนด์ ทำแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง ผลักดันยอดขายอย่างเต็มที่ นี่คือแนวทางการตลาดอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายต่างประเทศให้มากขึ้น
“หลังจากปูพรมสินค้าและทำการตลาดอย่างครอบคลุมแล้ว ทิศทางจากนั้นจะเข้าไปตั้งออฟฟิศประจำในแต่ละประเทศ โดยคาดว่าตลาดสำคัญๆ ในต่างประเทศจะต้องมีสำนักงานเข้าไปตั้งได้ครบ ภายในระยะเวลา 3 ปีจากนี้ ส่วนการลงทุนอื่นๆ สนใจเข้าไปตั้งโรงงานผลิตในอนาคต ซึ่งจากการเปิดเกมรุกทำตลาดสร้างแบรนด์ ในปี 2559 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากต่างประเทศเติบโต 40% ทำให้สัดส่วนการขายต่างประเทศจาก 20% ขยับขึ้นมาเป็น 30% ของภาพรวมบริษัทฯ นอกจากนี้ ยังมองหาโอกาสจากการเข้าไปเปิดตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ อินเดีย จีน เพื่อสร้างรายได้ทะลุ 5,000 ล้านบาท จากปัจจุบัน 3,200 ล้านบาท”คุณจันทรา กล่าวทิ้งท้าย