- Details
- Category: การตลาด
- Published: Monday, 13 February 2017 09:16
- Hits: 3149
อ.ส.ค. โชว์กลยุทธ์บุกตลาดปี 60 ชู 'นมไม่ผสมนมผง'ส่งโฆษณาชุดใหม่รับกระแส 'ดีอย่างธรรมชาติ'
องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ผู้ผลิตนมไทย-เดนมาร์คและผู้นำตลาดนมยูเอชที เผยกลยุทธ์บุกตลาดปี 2560 ชูจุดแข็งนมสดจากธรรมชาติไม่ผสมนมผง รับกระแสคนรักสุขภาพ ส่งภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ‘มิลค์ บ็อก’ (Milk Box) เพื่อกระตุ้นการมองหาสัญลักษณ์ ‘นมไม่ผสมนมผง’
ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวว่าในปี 2559 ที่ผ่านมา ตลาดนมยูเอชทีกลุ่มนมทั่วไปมีมูลค่าตลาดรวม 11,200 ล้านบาท โดย อ.ส.ค. เป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 45 และอ.ส.ค. มีการเติบโตร้อยละ 4 จากปี 2558 ซึ่งตลาดนมยูเอชที (UHT Milk) เป็นเซ็กเมนต์ที่มีมูลค่า 16,600 ล้านบาท (ร้อยละ 26.6) ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของตลาดรวมทั้งหมดที่มีมูลค่า 62,500 ล้านบาท
“นมไทย-เดนมาร์ค หรือ นมตราวัวแดงยังเป็นที่นิยมอันดับ 1 ในตลาดนมยูเอชที มีจุดแข็งที่รสชาติอร่อยหอมมัน เนื่องจากเราคัดสรรน้ำนมที่มีคุณภาพสูงจากแม่วัวที่มีสุขภาพดี และใช้น้ำนมโคสดแท้จากธรรมชาติ ไม่มีการผสมนมผง ทั้งนี้ในปี 2560 เราจะบุกตลาดมากขึ้น และตั้งเป้าที่จะสร้างรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมรวมทุกประเภทเป็นมูลค่า 9,055 ล้านบาท แบ่งเป็นนมพาณิชย์ 8,069 ล้านบาท และนมโรงเรียน 986 ล้านบาท คิดเป็นยอดขายเติบโตร้อยละ 7 จากปี 2559 พร้อมทั้งย้ำจุดยืนความเป็นผู้นำทั้งในด้านผลิตภัณฑ์คุณภาพ โดยจะยังคงเน้นจุดเด่นเรื่องการเป็นนมโคสดแท้จากธรรมชาติไม่ผสมนมผง ซึ่งมีแคลเซียมตามธรรมชาติในปริมาณสูงและร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”ดร. ณรงค์ฤทธิ์กล่าว
เพื่อสร้างความรู้และกระตุ้นให้ผู้บริโภคใส่ใจในการเลือกซื้อนมที่จะให้ประโยชน์จากธรรมชาติแท้ๆ อ.ส.ค. ได้เตรียมออกอากาศภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ชื่อ ‘มิลค์ บ็อก’ (Milk Box) ที่จะเน้นการสื่อสารเรื่องประโยชน์ของนมโคสดแท้ที่ไม่ผสมนมผง และกระตุ้นให้ผู้บริโภคมองหาสัญลักษณ์ ‘ไม่ผสมนมผง’รวมทั้งเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มที่ใส่ใจในการรักษาสุขภาพและเลือกสรรอาหารที่ไม่มีการปรุงแต่ง โดยการสื่อสารผ่านช่องทางหลากหลายทั้งโทรทัศน์โฆษณาในโรงภาพยนตร์และสื่อดิจิตอลที่จะเจาะถึงกลุ่มป้าหมายหลักคือกลุ่มแม่และวัยรุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากการสื่อสารจุดแข็งเรื่องการไม่ผสมนมผงแล้ว อ.ส.ค. ยังจะดำเนินกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก โดยการขยายช่องทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน อ.ส.ค. จำหน่ายผลิตภัณฑ์นมผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ Traditional Trade ซึ่งมีผู้จัดจำหน่ายรายจังหวัด จำนวน 29 ราย การจำหน่ายผ่าน Modern Trade จำนวน 8 ราย และการตลาดต่างประเทศ จำนวน 5 ราย
ขณะดียวกันก็ร่วมมือกับธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหาร อาทิ แมคโดนัลด์ ดอยคำ แมกซ์แวลู วิลล่ามาร์เก็ต และโกลเด้นเพลส เพื่อนำนมไทย-เดนมาร์คไปจำหน่ายและเป็นส่วนผสมในอาหารที่จำหน่ายในร้าน หรือทำกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกัน รวมถึงการพัฒนาช่องทางการขายสู่กลุ่มสินค้าแช่เย็น เช่น โยเกิร์ตและนมพาสเจอไรส์เพิ่มขึ้น
“เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่จะเติบโตในอัตราร้อยละ 7 อ.ส.ค. จะยังคงดำเนินกิจกรรมทางการตลาดที่ทำให้นมไทย-เดนมาร์ค รักษาความเป็นผู้นำได้อย่างต่อเนื่อง คือ มุ่งเน้นจุดยืนการเป็นนมโคสดแท้ 100% ไม่ผสมนมผง รวมทั้งทำหน้าที่ผู้นำในการสนับสนุนการพัฒนามาตรฐานน้ำนมดิบ มาตรฐานการผลิต และการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการรับซื้อน้ำนมดิบเพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมนมไทยทั้งวงการ ที่จะสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้บริโภค และก้าวสู่การเป็นนมแห่งชาติในอีก 5 ปีข้างหน้า”ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าว
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 55 ปีที่ผ่านมา อ.ส.ค. ได้มีบทบาทหลักในฐานะผู้นำด้านเกษตรโคนม โดยผ่านกิจกรรมหลักตามแนวคิด 3 ดี ได้แก่ “พันธุ์ดี” การพัฒนาและคัดเลือกพันธุ์โคนมที่ดีเหมาะแก่สภาพแวดล้อมในประเทศไทยรวมทั้งให้น้ำนมที่มีคุณภาพในปริมาณสูงมีความทนทาน“เลี้ยงดี” หรือการจัดการเลี้ยงโคนมที่มีระบบมาตรฐาน ด้วยวิธีธรรมชาติไร้สารเคมีในอาหาร และ “สอนดี” หรือการฝึกอบรมเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั้งในภาคทฤษฎีและปฏิบัติเพื่อให้มีความรู้ครบวงจรตั้งแต่การจัดการฟาร์ม การดูแลสุขภาพโคนม การผลิตน้ำนมที่สะอาดมีคุณภาพ รวมทั้งความรู้เฉพาะทาง เช่น การผสมเทียมโคนมและเครื่องรีดนม เป็นต้น
“อ.ส.ค. จะยังคงดำเนินภารกิจตามวัตถุประสงค์หลักของการก่อตั้งแรกเริ่ม คือเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาอุตสาหกรรมโคนมของประเทศไทย ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงเห็นว่าการเลี้ยงโคนมนอกจากจะทำให้เกษตรกรมีอาชีพ มีรายได้มั่นคงแล้ว ยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนไทยได้มีอาหารที่ดีมีคุณภาพในราคาไม่แพง รวมทั้งยังสามารถพึ่งพาตนเองได้ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งทางอ.ส.ค. ได้น้อมนำพระราชดำริมาปรับใช้เป็นนโยบายนมสร้างชาติในปัจจุบัน”ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าวสรุป