- Details
- Category: การตลาด
- Published: Thursday, 31 December 2015 19:27
- Hits: 2138
มารุเซ็น บุกตลาดชาเขียวไทยและตปท.ชูจุดแข็งต้นตำรับญี่ปุ่น-ความภาคภูมิใจจากเชียงราย
บ้านเมือง : มารุเซ็น ชาเขียวญี่ปุ่น พร้อมบุกตลาดไทย และต่างประเทศ เปิดตัว 3 ผลิตภัณฑ์ ชาเขียวชงร้อน เย็น และชาผง จับตลาด คลอบคลุม ทั้งผู้บริโภค และธุรกิจที่ใช้ชาเขียวเป็นส่วนผสม คาดปีแรก สร้างรายได้ 150 ล้านบาท ชูจุดแข็ง เป็นกระบวนการผลิตแบบชาเขียวญี่ปุ่นแท้ ในประเทศไทย เผยเตรียม ขยายกำลังการผลิตในการปลูกชา และการทำคอนแทร็ก ฟาร์มมิ่ง กับเกษตรกรในจังหวัดเชียงราย
นายพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มารุเซ็น ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ถือเป็นความภูมิใจของสิงห์ ปาร์ค เชียงราย ที่สามารถปลูกและผลิตชาเขียวญี่ปุ่น (Japanese Green Tea) ได้สำเร็จบนที่ดินของ สิงห์ ปาร์ค เชียงราย ซึ่งถือเป็นการเพาะปลูกและ การผลิตชาเขียวญี่ปุ่นนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเตรียมนำผลผลิตล็อตแรก วันที่ 16 ธ.ค.58 พร้อมวางจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังหลายประเทศทั่วโลก
ภายหลังจากที่มีการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัท สิงห์ ปาร์ค จำกัด และ บริษัท มารุเซ็น ที เจแปน จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตชาเขียวญี่ปุ่นเกรดพรีเมียมรายใหญ่ ที่มีประสบการณ์นานกว่า 70 ปี จากประเทศญี่ปุ่น ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัท บริษัท มารุเซ็น ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด และตั้งโรงงานผลิตชาเขียวญี่ปุ่นที่ สิงห์ ปาร์ค เชียงราย เพื่อผลิตชาเขียวญี่ปุ่นในกระบวนการวิธีการผลิตแบบญี่ปุ่นแท้ๆ
สำหรับ แนวทางการทำตลาดของชาเขียวมารุเซ็น จะเจาะกลุ่มเป้าหมาย 2 ส่วน ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจ(B2B) ประกอบด้วยกลุ่มโฮเรก้า (HoReCa) โรงแรม ภัตตาคารและร้านอาหาร และธุรกิจบริการจัดเลี้ยง และ 2.กลุ่มผู้บริโภคทั่วไป(B2C) เริ่มจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางค้าปลีก เช่น ท็อป ซูเปอร์มาร์เก็ต, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ทุกสาขา และปีหน้าจะขยายช่องทางจำหน่ายเพิ่มเติม เช่น กูร์เมต์ มาร์เก็ต และโฮม เฟรช มาร์ท ของกลุ่มเดอะมอลล์ ห้างค้าปลีกสมัยใหม่(โมเดิร์นเทรด), ร้านค้าทั่วไป (เทรดดิชั่นนอลเทรด), ร้านเบเกอรี่, โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
ทั้งนี้ ในปี 2559 บริษัทจะเริ่มขยายตลาดส่งออกชาเขียวไปยังตลาดต่างประเทศด้วย โดยมองตลาดในภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก และอีกหลายประเทศทั่วโลก ในปีแรก 2559 คาดว่าจะมียอดขาย 150 ล้านบาท และภายใน 3 ปีคาดว่าจะเพิ่มเป็น 300 ล้านบาท และมีแผนที่จะต่อยอดธุรกิจชาไปยังสแน็กหรือขนมขบเคี้ยวที่ทำจากชาเขียว ด้วย ซึ่งได้มอบหมายให้บริษัท เฮสโก้ ที่เป็นที่ปรึกษา ในการศึกษารายละเอียดและพัฒนา
ปัจจุบันกำลังการผลิตสินค้าที่มีอยู่ประมาณ 150,000 กิโลกรัม ต่อปี หรือ 150 ตัน โดยในส่วนของโรงงานสามารถรองรับกำลังการผลิต ชาเขียวได้ถึง 200 ตันต่อปีภายใน 3 ปี เตรียมขยายโรงงานใหม่ ใช้พื้นที่ประมาณ 10 ไร่ ลงทุนกว่า 450 ล้านบาท รวมทั้งศึกษาการทำคอนแทรคฟาร์มมิ่งกับเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อเพิ่มกำลังผลิตรองรับแผนขยายตลาดในและต่างประเทศ โดยไทย จะเป็นฐานผลิตเพื่อทำตลาดในภูมิภาค
"นอกจากตลาดเมืองไทยแล้วยังมีเป้าหมายไปที่ตลาดอาเซียนด้วย ซึ่งแผนรุกตลาดอาเซียนจะมีทั้งร่วมมือผ่านทางบุญรอดเทรดดิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล และเอเย่นต์ในไทยที่มีศักยภาพเพียงพอ ตลาดหลักที่มองคือ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมา ลาว เวียดนาม เป็นต้น นอกจากนั้นก็มีนักธุรกิจที่สนใจมาเจรจาเพื่อจะขอจำหน่ายในต่างประเทศ เช่น อเมริกา อังกฤษ ที่เสนอมาขอเป็นดีลเลอร์ ซึ่งส่วนใหญ่ทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอยู่แล้ว" สำหรับผลิตภัณฑ์ชาเขียวมารุเซ็นล็อตแรก ที่ผลิตและวางจำหน่าย ประกอบด้วย ชาเขียว ต้นตำรับ (Original Sencha) ซึ่งเป็นยอดชาพรีเมียม ผ่านกระบวนการผลิตที่พิถีพิถัน 3 ขั้นตอน ด้วยการพักชาให้ใบชาสดชื่น นวด และอบไอน้ำ (นึ่ง) อันเป็นวิถีดั้งเดิมของญี่ปุ่น เพื่อให้ใบชาคงรสชาติตามแบบฉบับชาญี่ปุ่นแท้ๆ ชาเขียวชนิดซองสำเร็จรูปพร้อมชง (Green Tea Bag) เป็นชาชงเย็น ที่ถือเป็นนวัตกรรมสินค้าสามารถตอบสนองผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายได้เป็นอย่างดี เนื่องจาก ชาเขียวดังกล่าวให้ความสดชื่นได้ สามารถชงในน้ำเย็นเพื่อบริโภคได้ทันที และ ชาเขียวญี่ปุ่นชนิดผง(Matcha) ซึ่งเป็นชาเขียวแบบผงคุณภาพพรีเมียม ผ่านกระบวนการผลิตพิถีพิถันตั้งแต่การเพาะปลูก ต้นชาที่ได้รับการควบคุมระดับแสงแดด การบดชา การอบไอน้ำ (นึ่ง) ตามต้นตำรับชาวญี่ปุ่นแท้ ที่สืบทอดกันมานานกว่า 100 ปี ทำให้ชาเขียวมัทฉะที่ได้มีกลิ่นหอมและรสชาติยอดเยี่ยม สร้างความแตกต่างจากตลาดได้เป็นอย่างดี
"นับเป็นความภูมิใจของบริษัท สิงห์ ปาร์ค และชาวจังหวัดเชียงราย ที่ได้ผลิตชาเขียวญี่ปุ่นแท้ๆ ล็อตแรกออกสู่ตลาด ซึ่งชาเชียว "มารุเซ็น"นั้นมีจุดแข็งตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก เรามีการควบคุมระดับแสงแดดที่ใบชาจะได้รับ การผลิตสินค้าก็พิถีพิถันด้วยการคัดเฉพาะยอดอ่อนใบชาที่มีคุณภาพป้อนโรงงาน และยังใช้กรรมวิธีการอบไอน้ำหรือนึ่ง ซึ่งเราเป็นโรงงานแห่งเดียวในไทยที่ใช้วิธีการดั้งเดิมแบบญี่ปุ่น โดยกระบวนการผลิตดังกล่าวต้องได้มาตรฐาน ผ่านการควบคุมและดูแลการผลิตโดยมารุเซ็นญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ผลิตชามากว่า 70 ปี ทั้งหมดเพื่อให้ได้สินค้าชาเขียวญี่ปุ่นแท้ๆ ที่มีคุณภาพและรสชาติเทียบเท่าชาเขียวแท้จากประเทศญี่ปุ่น" ปัจจุบัน สิงห์ ปาร์ค นอกจากจะมีโรงงานและพื้นที่ปลูกชาเขียวแล้ว ยังมีการเที่ยวชมฟาร์ม มีกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งการเล่นซิปไลน์ การไต่ผา มีการจัดคอนเสิร์ต มีร้านอาหาร และอนาคตเตรียมที่จะสร้างโรงแรม และวอเตอร์สปอร์ต ไว้บริการ