- Details
- Category: การตลาด
- Published: Wednesday, 30 September 2015 11:26
- Hits: 3119
สมาคมศูนย์การค้าไทย (TSCA) ตอกย้ำวิสัยทัศน์พัฒนาการค้าไทย สู่ที่หนึ่งของภูมิภาคผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการช้อปปิ้งและการท่องเที่ยวระดับโลก รับ AEC
เพิ่มพื้นที่รวมศูนย์การค้าในกลุ่มสมาชิกเป็นกว่า 14 ล้านตร.ม. ภายในปี 2560 ด้วยงบลงทุนต่อเนื่องกว่า 103,000 ล้านบาทเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการความปลอดภัย เรียกคืนความมั่นใจจากนักท่องเที่ยว ผลักดันนโยบายลดภาษีสินค้าลักชัวรี่ และส่งเสริมให้มีการสนับสนุนแบรนด์ไทย ก้าวไกลสู่ต่างประเทศ
วันนี้ สมาคมศูนย์การค้าไทย หรือ TSCA นำโดย นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ นายกสมาคมศูนย์การค้าไทย พร้อมด้วยคณะกรรมการสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์การค้าทั้งหมด 10 ราย ประกอบด้วย บริษัท เอ็มบีเค จำกัด (มหาชน) เดอะมอลล์กรุ๊ป บริษัท สยาม รีเทล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท เค.อี.แลนด์ จำกัด บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท รังสิตพลาซ่า จำกัด บริษัท สยามพิวรรธน์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) จัดแถลงข่าวประจำปี 2558 ประกาศย้ำวิสัยทัศน์ในการนำพาธุรกิจการค้าไทยสู่ความเป็นที่หนึ่งของภูมิภาค พร้อมประกาศนโยบายเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการความปลอดภัย และเรียกร้องให้ภาครัฐสนับสนุนนโยบายลดภาษีสินค้าแบรนด์เนม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีการค้าระดับภูมิภาค ตอบรับการแข่งขันในยุค AEC
นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ นายกสมาคมศูนย์การค้าไทย กล่าวว่า “สำหรับนโยบายของสมาคมศูนย์การค้าไทยในปีนี้ เรายังคงวิสัยทัศน์ ที่จะเดินหน้านำพาประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านธุรกิจการค้า และการท่องเที่ยวที่สำคัญของภูมิภาคและของโลก โดยกลุ่มสมาชิกผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์การค้า ในสมาคมฯ ได้ร่วมมือกันทุ่มเม็ดเงินลงทุนในช่วงปี 2558-2560 เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ๆ ระดับเมกะโปรเจคที่มีขนาดใหญ่กว่า 500,000 ตร.ม. และโครงการไลฟ์สไตล์ มอลล์ ที่มีความทันสมัยและตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคใหม่มากยิ่งขึ้น โดยโครงการเมกะโปรเจครับการเปิด AEC ได้แก่ โครงการ ดิ เอ็ม ดิสทริค บนถนนสุขุมวิท โครงการ เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต ซูเปอร์รีจินัล มอลล์ แห่งเซ้าท์อีสต์เอเชีย บนแยกบางใหญ่ ที่สร้างปรากฎการณ์ Talk of the Town ไปแล้วหลังการเปิดตัวได้ไม่นาน รวมถึงอีกหนึ่งโปรเจคใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ได้แก่ โครงการ ไอคอน สยาม ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
นอกจากนี้ ยังมีโครงการไลฟ์สไตล์มอลล์ แห่งใหม่ อย่าง เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ และโครงการ Expansion ที่จะมีการขยายโครงการให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และเพิ่มความเป็นไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น อย่าง โครงการเฟสใหม่ของ Crystal Park และโครงการ ZPELL ของฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในหัวเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญอย่าง ภูเก็ต ของซีพีเอ็น และเดอะมอลล์ กรุ๊ป และโครงการใหญ่ที่จังหวัดนครราชสีมา ของทั้ง ซีพีเอ็น เดอะมอลล์ กรุ๊ป และ สยาม รีเทล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด อีกด้วย
โดยภายในปี 2017 สมาคมฯจะมีพื้นที่รวมศูนย์การค้ากว่า 14 ล้านตร.ม. ด้วยมูลค่าการลงทุนถึง 103,000 ล้านบาท
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีการรีโนเวทโครงการที่มีอยู่แล้ว ให้มีรูปแบบที่ทันสมัย และตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคใหม่มากขึ้น ทั้งในย่าน Shopping Street ใจกลางเมืองอย่าง แยกปทุมวัน-แยกราชประสงค์-ชิดลม ต่อเนื่องไปบนถนนสุขุมวิท ไปจนถึงย่านพร้อมพงศ์ เพื่อยกระดับย่าน Shopping Street นี้ ให้เป็นเดสติเนชั่นแห่งการช้อปปิ้งของภูมิภาคเอเชีย เทียบเท่าย่านช้อปปิ้งระดับโลก โดยทั้งหมดนี้ คือการรวมพลังกัน พัฒนาธุรกิจศูนย์การค้าไทย ให้มีศักยภาพพร้อมรับมือกับการแข่งขันบนเวทีการค้าระดับภูมิภาค เพื่อจุดมุ่งหมายในการเป็น รีจินัลช้อปปิ้ง ฮับ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมายังประเทศไทย” นางสาววัลยา กล่าว
นางสาววัลยา ยังกล่าวเสริมอีกว่า “ทางสมาคมฯยังมุ่งเน้นให้ความสำคัญเรื่อง นโยบายการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยในศูนย์การค้าของไทย โดยจะนำหัวข้อนี้มาเป็นประเด็นสำคัญในที่ประชุมครั้งต่อไป เพื่อกำหนดนโยบายที่เป็นมาตรฐานตรงกัน ในทุกศูนย์การค้า ทั้งนี้เพื่อเป็นการเรียกคืนความมั่นใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย”
ในฐานะนายกสมาคมฯ นางสาววัลยา ยังเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ประกอบการค้า ในการเรียกร้องให้ภาครัฐบาลสนับสนุนและผลักดันแบรนด์ไทยให้ก้าวไกลไปสู่ต่างประเทศ เปิดโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการของไทยขยายตลาดไปยังต่างประเทศ รวมทั้งเรียกร้องให้มีการปรับลดภาษีสินค้านำเข้า เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สิงคโปร์ และฮ่องกงได้ เพื่อมุ่งรองรับลูกค้าเป้าหมายกลุ่มจีน อินโดนีเซีย เวียดนาม และรัสเซีย ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีกำลังซื้อสูง โดยหากสามารถดึงคนกลุ่มนี้เข้ามาจับจ่ายในไทยได้ จะเป็นการเพิ่มทั้งปริมาณ และคุณภาพของนักท่องเที่ยว เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น ช้อปปิ้ง เดสติเนชั่นระดับโลก อย่างสมบูรณ์แบบ