- Details
- Category: การตลาด
- Published: Friday, 30 January 2015 08:04
- Hits: 2721
โคว่า (ประเทศไทย) แตกไลน์ธุรกิจอินโนเวทีฟจากประเทศญี่ปุ่น รุกตลาดสุขภาพ และความงาม รองรับกลุ่มลูกค้าคนไทยรวมทั้งตลาดอาเซียนในอนาคต
'โคว่า กรุ๊ป'ประสบความสําเร็จในธุรกิจด้านยา และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีชื่อเสียงมากเป็นอันดับ 5 ในวงการยา OTC ของประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าและดําเนินธุรกิจกลยุทธ์การตลาดที่ได้มาตรฐานเดียวกันกับทุกตลาดทั่วโลกอีกด้วย และด้วยความไม่หยุดยั้งในการพัฒนารูปแบบการผลิตนวัตกรรมใหม่ที่ทันสมัยและได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล จึงทําให้บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจในการดูแลคุณภาพชีวิตของชาวญี่ปุ่นและหลายประเทศทั่วโลก ตลอดระยะเวลากว่า 13 ปี ที่ “โคว่า กรุ๊ป” ได้เข้ามาเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทยโดยใช้ชื่อว่า บริษัท โคว่า (ประเทศไทย) จํากัด ดําเนินธุรกิจนำเข้ากลุ่มยา Ethical Drug อันได้แก่ยา Livalo และ Kalimate โดยเฉพาะยา Livalo ซึ่งเป็นกลุ่มยา statin ลดไขมันคอเลสเตอรอลที่เป็น product pipeline ที่สำคัญของบริษัทโคว่า และในปีที่ผ่านมา Livalo มียอดขายรวมทั่วโลกถึง 27,000 ล้านบาท
ภ.ญ. สุนันทา วังโสภณ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคว่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันนี้ผู้บริโภคในเมืองไทยและทั่วโลก มีความต้องการสินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพและความงามเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับสินค้าประเภทอื่น ๆ ทางบริษัทฯ จึงมองเห็นช่องว่างของตลาดสุขภาพและความงามที่ยังต้องการสินค้าที่ใช้ง่าย สะดวก และมีประสิทธิภาพสูง เห็นผลชัดเจนในระยะเวลารวดเร็ว ดังนั้นจึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะริเริ่มและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย
โดยในปีนี้ทางบริษัทฯ มีนโยบายขยายไลน์ธุรกิจอินโนเวทีฟโปรดักส์มากขึ้น โดยนำเข้า 2 ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่จากประเทศญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยทั้งสองผลิตภัณฑ์นี้ ได้แก่ มาร์ชพัฟ ยูวี พาวเดอร์ ( Marshpuff UV Powder SPF50+ PA++++ แป้งฝุ่นทาผิว) ซึ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้หญิงอายุ 17-35 ปี ด้วยนวัตกรรมใหม่สินค้ายอดฮิตขายดีอันดับต้นๆ จากประเทศญี่ปุ่นด้วยขนาดพกพาที่มีรูปร่างเหมือนขนมมาชมาโรลและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งมาพร้อมกับ SPF50+ PA++++ (ซึ่งมีประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากแสงแดดสูงสุดเทียบเท่าเคาน์เตอร์แบรนด์ในท้องตลาดด้วยราคาสบายกระเป๋าให้คุณได้อินเทรนด์ก่อนใคร) ผสมเกล็ดกลิตเตอร์เพิ่มประกายแวววาว และช่วยทำให้การปกป้องจากแสงแดดตลอดทั้งวัน ทาซ้ำได้ ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่ทิ้งคราบ สามารถพกพาติดตัวได้ โดยจัดจำหน่ายที่ร้านโมเดิร์นเทรดและไฮเปอร์มาร์เก็ต อาทิ Tsuruha, Loft, Central Food Hall, Max Value และอื่นๆ ในราคา 350 บาท สำหรับภาพรวมตลาดครีมกันแดดโมเดิร์นแบรนด์มีมูลค่าราว 700 ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสโตได้อีกมากตามเทรนด์นิยมผิวขาวกระจ่างใสในไทย
ส่วนอีกผลิตภัณฑ์คือ แวนเทลิน โคว่า ซัพพอร์ตเตอร์ (Vantelin KOWA Supporter) สำหรับพยุงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ที่ถักทอขึ้นจากเส้นใยคุณภาพดีไร้ตะเข็บ โอบกระชับกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และซัพพอร์ตอย่างตรงจุดเข้าใจทุกปัญหาการบาดเจ็บที่เกิดจากการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่าจากนวัตกรรม Taping Theory รับประกันด้วยยอดขายอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น โดยจัดจำหน่ายที่โมเดิร์นเทรด และร้านขายยาชั้นนำทั่วประเทศในราคา 460 บาท”
ภ.ญ.สุนันทา กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับงบประมาณทางการตลาดนั้นวางไว้ที่ 10 เปอร์เซ็นต์จากยอดขาย (เฉลี่ยทุกปี) โดยมุ่งใช้กลยุทธ์การตลาดทั้งในรูปแบบทั้งอะโบฟ เดอะ ไลน์( Above the line) การสื่อสารการตลาดผ่านสื่อในวงกว้างหรือแมส มีเดีย เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และช่องทางออนไลน์ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการตลาดยุคใหม่ ฯลฯ และบีโลว์ เดอะ ไลน์ (Below the line) ซึ่งเป็นการสื่อสารการตลาดแบบไม่ใช้สื่อ แต่เน้นการทำกิจกรรมหรืออีเว้นต์ต่างๆ อาทิ การแจกสินค้าตัวอย่าง การออกบูธแสดงสินค้า การโรดโชว์ การจัดเวิร์กช็อป การจัดสัมมนา เป็นต้น เพื่อการสื่อสารข้อมูลข่าวสารไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย โดยจะขยายไปในช่องทางโมเดิร์นเทรด ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยาทั่วไปมากขึ้น และช่องทางออนไลน์ เช่น ลาซาด้า คาดว่าจะเริ่มได้ช่วงต้นปีหน้าเพื่อความสะดวกของผู้บริโภค โดยคาดหวังการได้วางสินค้าอยู่ในจุดสินค้าขายดี (Top Shelf)
นอกจากนี้ ยังมี Brand Ambassador ผลิตภัณฑ์มาร์ชพัฟ ยูวี พาวเดอร์ ( Marshpuff UV Powder SPF50+ PA++++ แป้งฝุ่นทาผิว) คือ บัว-วันสิริ อ่องอําไพ เพื่อสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างแบรนด์ของโคว่าให้ติดตลาด โดยยอดจำหน่ายในปี 2014 ที่ผ่านมามียอดขายในไทย 300 กว่าล้านบาท โดยแบ่งเป็น 90 เปอร์เซ็นต์จากยาเวชภัณฑ์ และ 10 เปอร์เซ็นต์จาก Consumer health care โดยในปี 2015 ตั้งเป้าอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 30% คือประมาณ 400 ล้านบาท และวางแผนอนาคตจะไปเปิดตลาดที่เวียดนาม ลาว กัมพูชา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์:
ภาวิณี เอราวัน (ดั๊ก) 084-732-7123
ดวงเนตร ชีวะวิชวาลกุล (เอ๋) 081-903-2262
ปวรวรรณ จันทร์สมุทร (เต๋า) 081-269-3667