- Details
- Category: การตลาด
- Published: Wednesday, 26 November 2014 21:33
- Hits: 2187
เมเจอร์ กางแผน 6 ปีขยายธุรกิจหนังไทย
ไทยโพสต์ : พารากอน * เมเจอร์ทุ่มไม่อั้น 6 ปี ควัก 5,000 ล้านบาท ปูพรมสร้างโรงหนังทั้งไทยและเพื่อนบ้านครบ 1,000 โรง คาดรายได้โตขึ้นเป็นสองเท่าทะลุ 15,000 ล้านบาท
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับตั้งแต่ปี 2558-2564 จะยังคงเน้นการขยายโรงภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง โดยได้เตรียมงบประมาณไว้กว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มโรงภาพยนตร์อีกจำนวน 500 โรง จากปัจจุบันมีอยู่กว่า 520 โรง ซึ่งจะส่งผลให้โรงภาพยนตร์ของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ครบ 1,000 โรงได้ตามเวลาดังกล่าว สามารถแบ่งสัดส่วนเป็นภายในประเทศไทย 90% ที่เหลืออีก 10% หรือประมาณ 100 โรง จะเป็นกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม และในขณะนั้นคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถมีการเติบโตของรายได้เป็นเท่าตัว หรือมากกว่า 15,000 ล้านบาท
สำหรับ แผนในปี 2558 จะเป็นปีที่บริษัทได้ขยายสาขามากที่สุดนับตั้งแต่ทำธุรกิจมา หรือใช้ เงินลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถทำให้มีโรงภาพยนตร์ในการเปิดให้บริการเป็น 600 โรง ในขณะนี้ได้เซ็นสัญญาไปแล้ว 100 โรง เน้นไปในบริเวณต่างจังหวัดค่อนข้างมาก
"ในปีหน้าบริษัทในเครือจะทำการสร้างหนังไทยอีก 12-15 เรื่อง ซึ่งถือว่ามากกว่าปกติที่จะผลิตในแต่ละปีราว 6-7 เรื่องต่อปี บริษัทจะทำการสร้างคอนเทนต์ของหนังไทย เพื่อตอบสนอง ลูกค้าต่างจังหวัดตามความนิยมให้มากขึ้น"นายวิชากล่าว
ด้านการขยายสาขาในต่างประเทศที่ผ่านมาได้เริ่มเปิดให้บริการในประเทศกัมพูชามาแล้ว ภายในศูนย์การค้าอิออน มอลล์ ซึ่งในปีหน้าจะขยายต่อไปยังประเทศลาวอีก 1 สาขา จำนวน 5-6 โรงภาพยนตร์ คาดการณ์ว่าจะไปดำเนินการร่วมกับพันธมิตร และในตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการหาพาร์ตเนอร์อยู่
นายวิชา ยังกล่าวว่า ภาพรวมผลดำเนินการของธุรกิจช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีอยู่ หรือคิดเป็นประมาณ 10% คาดว่าตลอดทั้งปีก็ยังจะรักษา การเติบโตไว้ได้ในระดับดังกล่าวอยู่ มองว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปีหน้าจะมีแนวโน้มที่ดีมากกว่าปีนี้ ประกอบกับโรงภาพยนตร์ที่มากขึ้นตามการขยายของแผน และมีหนังจากฮอลลีวู้ดอีกมากที่รอเข้าฉาย ซึ่งเป็นหนังที่ค่อนข้างจะทำเงินแทบทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้ประมาณ 15-20% หรือคิดเป็นประมาณ 10,000 ล้านบาท.