- Details
- Category: การตลาด
- Published: Sunday, 04 May 2014 00:46
- Hits: 3789
มิตซูบิชิ ทุ่ม 10 ล้านผุดศูนย์ฝึกอบรม มุ่งลด-ป้องกันอุบัติเหตุ การใช้ลิฟต์-บันไดเลื่อน END:
แนวหน้า : นายสุพัตถ์ จารุศร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ (ประเทศไทย)จำกัด ผู้นำธุรกิจลิฟต์ บันไดเลื่อน และทางลาดเลื่อน เปิดเผยว่า ตลาดรวมของลิฟต์และบันไดเลื่อน น่าจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 6,000-7,000 ตัว เติบโตประมาณ 15-20% ต่อปี โดยแบ่งสัดส่วนเป็น ลิฟต์ 95% และบันไดเลื่อน 5%
ทั้งนี้ ปัจจัยการขยายตัวของตลาดส่วนใหญ่มาจากการลงทุนทั้งของภาครัฐและเอกชน โดยหลังจากการเปิด AEC หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 เชื่อว่าตลาดน่าจะมีการเติบโตมากขึ้น ทำให้บริษัทมียโยบายขยายการลงทุนด้วยงบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อเปิดศูนย์ฝึกอบรมทางด้านการเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง (Vertical Transportation) ที่สมบูรณ์แบบแห่งแรกในไทย และถือเป็นแห่งเดียวในภูมิภาคอาเซียน มุ่งลดและป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากการใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อนอย่างประมาทและรู้เท่าไม่ถึงการณ์
โดยศูนย์แห่งนี้ใช้สำหรับฝึกอบรมพนักงานของบริษัท ตั้งแต่พนักงานติดตั้ง พนักงานซ่อมบำรุง พนักงานแผนกความปลอดภัย พนักงานแผนกตรวจสอบคุณภาพ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายอาคารสถานที่ หรือสถานศึกษา ก็สามารถมาขอเข้ารับการอบรมได้
“แนวคิดการตั้งศูนย์แห่งนี้เกิดจากจำนวนลูกค้าของบริษัทกว่า 10,000 ราย ที่บริษัทจำหน่ายลิฟต์และบันไดเลื่อนมาแล้วกว่า 35 ปี และกว่า 60% เป็นลูกค้าเก่าที่เคยซื้อใช้แล้วและซื้อใช้อีก โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นที่พักอาศัยถึง 70% ทำให้บริษัทคิดว่าต้องดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี แม้ในปัจจุบันบริษัทจะมีศูนย์ให้บริการกว่า 10 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและความปลอดภัยที่ต้องมีเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อให้รับรู้ปัญหาใหม่ๆที่เกิดขึ้นกับลิฟต์และบันไดเลื่อน เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียหรืออุบัติเหตุจากการใช้งาน”นายสุพัตถ์ กล่าว
สำหรับ ผลประกอบการของบริษัทในปี 2556 นั้น มียอดรวมอยู่ที่ 1,300 ตัว และในปี 2557 นี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ประมาณ 1,600 ตัว ขณะที่สัดส่วนการตลาดระหว่างกรุงเทพฯและปริมณฑล กับต่างจังหวัดมีสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่กรุงเทพฯและปริมณฑล คิดเป็น 70% ขณะที่ต่างจังหวัดจะมีเพียง 30% แต่ในปัจจุบันสัดส่วนเป็นต่างจังหวัด 60% กรุงเทพฯและปริมณฑล 40% ปัจจัยหลักน่าจะมาจากการขยายตัวออกต่างจังหวัดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดใหญ่ๆ
