- Details
- Category: การตลาด
- Published: Friday, 18 May 2018 14:14
- Hits: 1357
'ข้าวหงษ์ทอง' 80 ปี แห่งความสำเร็จ สยายปีกผู้นำตลาดข้าวโลก
'ข้าวหงษ์ทอง'หรือ 'GOLDEN PHOENIX' ฉลอง 80 ปี จากโรงสีข้าวเล็ก ๆ สยายปีกสู่ผู้นำตลาดข้าวของโลก จากปัจจัยหลักในการทำตลาดเชิงรุก พร้อมสร้างตราสินค้าให้แข็งแกร่งเข้าไปนั่งในใจผู้บริโภค และความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าที่ส่งมอบสินค้าคุณภาพดีตลอดมา ‘คุณภาพนำหน้า ราคายุติธรรม บริการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต’ ปัจจุบันสามารถกระจายสินค้าออกสู่ตลาดทั่วประเทศ และทวีปต่างๆ ทั่วโลก อันได้แก่ เอเชีย ยุโรป อเมริกา แอฟริกา ออสเตรเลีย ด้วยข้าวหอมมะลิ 100% คุณภาพสูง ด้วยยอดขายปี 60 กว่า 250,000 ตัน เติบโตกว่า 15% ตั้งเป้าอีก 5 ปีข้างหน้าหวังโกยยอดขาย 400,000 ตันต่อปี จากฐานการผลิตที่ปัจจุบันสามารถรองรับได้มากถึง 300,000 ตันต่อปี พร้อมออกผลิตภัณฑ์ใหม่รับกระแสเทรนสุขภาพเปิดตัวข้าว Zuper Rice มีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีค่าสูงกว่าข้าวกล้องทั่วไปถึง 6 เท่า และไตรมาส 3 เตรียมเปิดข้าวสำหรับคนที่ชอบข้าวนุ่ม เป็นตัว หุงขึ้นหม้อ แต่จ่ายในราคาเบาๆ เหมาะกับสถานการณ์ข้าวปัจจุบันในมูลค่าตลาดรวม 50,000 ล้านบาท
นายวัลลภ มานะธัญญา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด (BSCM) เปิดเผยว่า เป็นเวลากว่า 80 ปีแล้วตำนานของแบรนด์ 'หงษ์ทอง'เริ่มต้นธุรกิจจากรุ่นคุณปู่ คือ นายบัวลิ้ม แซ่โค้ว ต้นตระกูล 'มานะธัญญา' อพยพจากประเทศจีนที่หนีความยากลำบากมาอยู่เมืองไทย ด้วยการเริ่มทำธุรกิจซื้อมาขายไปข้าวสารแถวสามย่าน โดยมีลูกชาย 2 คนคือ นายโกศล และนายกมล เป็นผู้ช่วย และทั้งสองท่านมีความใฝ่ฝันจะมีโรงสีเป็นของตัวเอง ในปี พ.ศ.2480 จึงเริ่มต้นจากขอเช่าโรงสีร้างของพระยามานวราชเสวี (ท่านเจ้าคุณมาน) อยู่แถวบางซื่อ จึงถือเป็นปีเริ่มต้นธุรกิจข้าวอย่างเต็มตัวของตระกูลมานะธัญญา
นายโกศลและนายกมล ถือเป็นกำลังสำคัญในการทำงานทุกอย่างทุกขั้นตอน จนไม่มีเวลาเรียนหนังสือ และเมื่อสีข้าวได้แล้ว จะเอาข้าวบรรทุกใส่เรือกระแซง ซึ่งบรรทุกได้ประมาณ 10 ตัน ล่องไปขายแถบบริเวณคลองเทเวศน์ และสะพานมัฆวาน กว่าจะขายหมดก็กินเวลา 5-6 วันจึงจะกลับบ้าน ทำอย่างนี้เรื่อยมาจนท่านเจ้าคุณมาณเห็นในความมีมานะอุตสาหะ จึงตั้งนามสกุลให้ว่า “มานะธัญญา” ซึ่งหมายถึงตระกูลผู้มีมานะในการทำงานด้านธัญญาหาร คือข้าวนั่นเอง และต่อมาในปี 2499 ท่านเจ้าคุณมาณจึงขายที่ดินโรงสีให้ในราคา 115,000 บาท
“ธุรกิจของเราเริ่มตั้งแต่ การซื้อมา-ขายไป 'ข้าวสาร'และได้มีการพัฒนา และขยายเติบโตจนเป็นธุรกิจทั้งในประเทศ และส่งออกข้าวไปในหลายประเทศทั่วโลก ด้วยปรัชญาในการดำเนินธุรกิจ ที่เน้นการดูแลรักษาคุณภาพสินค้า การรักษาคำพูด สัญญา และการดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นแนวทางในการนำพากิจการเติบโตได้ยาวนานถึง 80 ปี และต่อ ๆ ไป รวมถึง การได้รับการสนับสนุนด้วยดีตลอดมาจาก คู่ค้า-ลูกค้า-ชาวนา-โรงสี-สถาบันการเงิน-ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนถึงส่วนราชการ และตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ ทั้ง อเมริกา แคนนาดา ฮ่องกง สิงค์โปร์ กวม ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ อีกทั่วโลก” นายวัลลภ กล่าว
นายวัลลภ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ มีผลประกอบในรอบปี 2560 มียอดขายประมาณ 250,000 ตัน ซึ่งเติบโตจากปี 2559 ที่ 15% แต่มูลค่าการขายลดลงเล็กน้อยเนื่องจากราคาข้าวลดลง ทั้งนี้การขายสินค้าของ BSCM ส่วนใหญ่เป็นการขายในตราสินค้าของบริษัท คือ ตราหงษ์ทอง หรือ Golden Phoenix เป็นตราหลัก มากกว่า 85% ของจำนวนยอดขายทั้งหมด และสินค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นข้าวหอมมะลิมากกว่า 95% และมีสินค้าตราอื่นๆ ของบริษัทฯอีก 2-3 ตัว ซึ่งถือว่าเป็นความมั่นคงของบริษัทอย่างมากที่ขายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเป็นส่วนใหญ่
ในอีก 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการส่งออกไว้ประมาณ 400,000 ตัน หรือเติบโต 10% ต่อปี ด้วยมูลค่าส่งออก 9,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงสีในจังหวัดนนทบุรี, ศรีสะเกษ, ร้อยเอ็ด และสุพรรณบุรีเป็นฐานการรับซื้อข้าวเปลือก และการผลิต ทั้งข้าวขาว ข้าวหอม ทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตรวมทั้งหมด 300,00 ตันต่อปี
และเพื่อเป็นการพัฒนาสินค้าของบริษัทฯ ให้มีคุณภาพที่ดีตลอด บริษัทฯ จึงส่งเสริมให้ชาวนารู้จักวิธีการปลูกที่สามารถลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น ในชื่อ โครงการหงษ์ทองนาหยอด ในจังหวัดศรีสะเกษและอุบลราชธานี จนปัจจุบันมีเกษตรกรชาวนาเข้าร่วมโครงการจำนวน 2,000 ราย รวมเนื้อที่ประมาณ 40,000 ไร่ ที่ช่วยลดต้นทุนการทำนาลงได้ถึง 20% ของต้นทุนเดิม และเพิ่มผลผลิตได้สูงขึ้นอีก 20% ส่งผลให้เกษตรกรชาวนามีกำไรจากการทำนาข้าวโดยเฉลี่ยไร่ละประมาณ 3,000 บาท ซึ่งนอกจากจะได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากชาวนาที่เข้าร่วมโครงการ และได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน ยกย่องให้เป็นโครงการต้นแบบหนึ่งในโครงการของประชารัฐ ที่กำลังขยายผลต่อไปในภาคการเกษตรการปลูกข้าวของไทยอย่างกว้างขวางต่อไป
นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตพนักงานทุกคน เพราะมีความเชื่อมั่นว่า ทรัพยากรมนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าสูงสุด อันหมายถึงผลประกอบการที่ดีของบริษัทฯ ทั้งการพัฒนาความรู้ และความเข้าใจในงาน รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพ การดูแลสุขภาพของพนักงานอย่างต่อเนื่อง ด้านเศรษฐกิจครัวเรือน ได้จัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ข้าวหงษ์ทอง และให้ความช่วยเหลือพนักงานทุกคน สามารถปลดหนี้นอกระบบได้ทุกคน และสนับสนุนให้พนักงานใช้ประโยชน์จากสหกรณ์ฯ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว เช่น ใช้เพื่อการศึกษาบุตร เลี้ยงดูบุพการี การจัดหาบ้านพักอาศัย หรือ การซื้อยานพาหนะอีกด้วย
ด้านตลาดในประเทศ นางโสพรรณ มานะธัญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิต และจำหน่ายข้าวแบรดน์ “ข้าวหงษ์ทอง” กล่าวว่าถึง กลยุทธ์ปี 2561 นี้ ข้าวหงษ์ทองเตรียมปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ เข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว โดยการขายผ่านช่องทาง Online Marketing ทั้งทางสังคมออนไลน์อย่าง Website, Facebook, Instargram และ YouTube ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทฯ มีแฟนเพจที่ Active มากกว่า 200,000 ราย รวมถึงการขยายช่องทางการขายผ่าน E-Commerce รูปแบบของ Marketplace Platform ทั้ง Lazada, 11street, Shopee, Weloveshoping และกำลังจะดำเนินการบน JD Central โดยบริษัทมุ่งหวังว่าในปี 2561 ช่องทางเหล่านี้จะเติบโตมากกว่า 100% และมากกว่า 200% ในปี 2562
“แม้เรา จะมุ่งมั่นในการพัฒนาร้านค้าออนไลน์ แต่ก็ใช่ว่าเราจะทิ้งร้านค้าปลีก เพราะในตอนนี้ข้าวหงษ์ทองมีร้านค้าปลีกในชื่อ “หงษ์ทองเฮลท์สเตชั่น” ที่เปิดตัวไปแล้ว 3 สาขา และล่าสุดเรายังเข้าซื้อกิจการร้านสินค้าสุขภาพ ชื่อร้าน “ใบเมี่ยง” อีก 4 สาขา เราจึงมั่นใจว่าผู้บริโภคจะเข้าถึงสินค้าของเราได้ทั่วถึงอย่างแน่นอน” นางโสพรรณ กล่าวเพิ่มเติม
นางโสพรรณ ยังกล่าวถึงโอกาสพิเศษที่ข้าวหงษ์ทองมีอายุครบ 80 ปี ว่า “เราได้มีการคิดค้น และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้ผู้บริโภค ซึ่งได้เริ่มออกสู่ตลาดแล้วหนึ่งผลิตภัณฑ์คือ ข้าวกล้อง “Zuper Rice” เป็นการนำเอาสุดยอดข้าวกล้อง 3 สายพันธุ์มารวมกัน สารต้านอนุมูลอิสระ สูงกว่าข้าวกล้องทั่วไปถึง 6 เท่า และภายในไตรมาสที่ 3 จะมีอีก 1 ตัวเป็นข้าวสำหรับคนที่ชอบข้าวนุ่ม เป็นตัว หุงขึ้นหม้อ แต่จ่ายในราคาเบาๆ เหมาะกับสถานการณ์ข้าวปัจจุบัน รวมถึงกิจกรรมพิเศษที่เราจัดให้ผู้บริโภคตลอดทั้งปี หรือสินค้าราคาพิเศษที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง Big C, Lotus ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้เราจัดขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคได้เฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 80 ปี ไปพร้อมกับเรา ให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกข้าวหงษ์ทอง”
“นอกจากจะทำให้ผู้บริโภคได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวข้าวหงษ์ทองแล้ว สิ่งสำคัญที่บริษัทยึดมั่นมาตลอดคือการเน้นดูแล รักษาคุณภาพของสินค้า และการดำเนินธุรกิจ ด้วยความซื่อสัตย์-ซื่อตรง รักษาคำพูด รักษาชื่อเสียง สมดังปฏิญาณที่บริษัท ที่ว่า “คุณภาพนำหน้า ราคายุติธรรม บริการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” และนี่คือปรัชญาการดำเนินธุรกิจของข้าวหงษ์ทองที่มีให้ลูกค้าคนสำคัญมาตลอด 80 ปี” นางโสพรรณ กล่าวปิดท้าย
80th Anniversary of success, “Hong Thong Rice” spread its wings to be a leading global rice supplier
“Hong Thong Rice” or “Golden Phoenix” celebrates its 80th anniversary, from small rice mill to spreading its wings to be a leading global rice supplier. Proactive marketing together with strengthening its brand to engage with consumers, and honestly conducting business to deliver high quality products to consumers, according to its motto “Quality-led, fair price, serve honestly”, the company currently distributes its products nationwide and across the world : in Asia, Europe, America, Africa, Australia. The company boasts its turnover of high-quality 100% jasmine rice at 15% growth to 250,000 tonnes in 2017. From the current production capacity of 300,000 tonnes per year, the company is expecting the sales volume of 400,000 tonnes per year in the next 5 years. The company recently launched the new product “Zuper Rice” with 6 times higher anthocynanin than what is found in typical brown rice to attract those health-conscious consumers. In 3nd quarter, the company will launch the new rice for fluffy and tender rice lovers at a reasonable price, which is good for current rice market situation with the total market share of 50,000 million Baht.
Mr. Vallop Manathanya, the Chairman of Bangsue Chia Meng Rice Mill Company Limited (BSCM) announces that “Hong Thong” brand has started its business 80 years ago by his grandfather, Mr. Bualim Saekow – the ancestor of “Manathanya” family, who left his starvation in mainland China and migrated into Thailand, then began the milled rice trading business at Sam Yan area. His grandfather’s 2 sons, Mr. Kosol and Mr. Kamol, who assisted him to do the trading business always dreamed of having their own rice mill. In 1937 that both Mr. Kosol and Mr. Kamol leased a vacant rice mill located in Bangsue district from Phraya Manavarajasevi (also known as Thaan Chao Khun Maan); it was earmarked as the first year of the Manathanya family’s rice business.
Mr. Kosol and Mr. Kamol, as the key persons of all works, devoted themselves mostly to their business, hence they barely had time to go to school. Once rice was milled, the 10 tonnes milled rice would be loaded into a wooden boat with canopy, then transported to the marketplace around Tewet canal and Makkawan bridge for sales. The rice sales took 5-6 days each round. Phraya Manavarajasevi admired their great perseverance, he gave their family name as “Manathanya” which means the family of those who show their perseverance in working with grains, i.e. rice. In 1956 Phraya Manavarajasevi sold his land where the rice mill was located to Mr. Kosol and Mr. Kamol with 115,000 Baht in exchange.
“We started our business from trading “milled rice”, then we developed and expanded our business by trading rice both in the domestic and international markets. Our philosophy of doing business is to maintain high quality of goods, to keep our words and promises, and to conduct our business honestly. These mindsets have encouraged the business growth for 80 years and it is continuously happening in the future too. Additionally, taking good care of our upstream and downstream partners (suppliers, customers, farmers, rice mills, financial institutions, packaging manufacturers), and our international distributors in many countries such as United States of America, Canada, Hong Kong, Singapore, Guam, Japan, etc. as well as great support receiving from sector are the very important factors behind our success.”, Mr. Vallop said.
Mr. Vallop added that the company’s sales volume in 2017 was 250,000 tonnes or 15% growth compared with year 2016; however, the sales value slightly went downwards because the rice price decreased. Most of the sale was generated from selling the company’s own brand – Hong Thong or Golden Phoenix; it was more than 85% of total sales volume. 95% of our products sold was jasmine rice and the rest of sale volume was from the company’s 3 other brands. As most of the sales was generated from the products with the company’s own brand, it ensured the company’s high degree of stability.
In the next 5 years, the company projects the export volume at 400,000 tonnes or at 10% growth per annum, with the targeted export value at 9,000 – 10,000 million Baht. With the company owned rice mills in Nonthaburi, Si Saket, Roi Et, and Suphanburi which are the points of rice purchase and the production plants of white rice and fragrant rice, the company’s total production capacity reaches 300,000 tonnes per year.
In order to develop and maintain the high quality of the company’s products, the company introduces farmers to the cost-cutting rice growing method that produces higher yield with the project named “Hong Thong Rice Drop” (a method of growing rice by way of rainfed agriculture) in Si Saket and Ubon Ratchathani. Up till now 2,000 farmers with total paddy field area of 40,000 Rai have joined the group. This rice drop method saves 20% of the rice growing cost when compares with the original rice growing method, and results in 20% higher yield. Consequently the farmers’ profit is about 3,000 Baht per Rai. Not only does the project gain reputation among the farmers, but also be admired by all sectors. The project is selected as one of the Pracharat’s pilot projects on rice farming in Thailand.
Additionally, the company emphasizes the importance of all employees’ quality of life and believes that human resources are of the highest value because it affects the company’s turnover. Therefore, the company invests a lot in capacity building, job training, and employees’ healthcare. To help the employees maintains their wealth, the company establishes Hong Thong Rice saving cooperative, and encourages the employees to pay up all their debt owed to loan sharks, and introduces the employees to the finance services offered by the saving cooperative to bring stability to their lives such as finance for children’s education, for parents expenses, for housing, for vehicle buying.
Mrs. Sopan Manathanya, the Managing Director of Chia Meng Marketing Company Limited, the manufacturer and distributor of “Hong Thong” rice talked about domestic market strategy that in 2018 the company has planned for new strategy to enter the digital era. The online marketing on social networks such as website, Facebook, Instagram, and YouTube will become an important channel. Currently there are more than 200,000 active members of the company’s fan page. E-commerce currently takes place on Marketplace Platform : Lazada, 11street, Shopee, Weloveshopping and we are making it happen on JD Central. The company aims that the activities and transactions on these channels will grow more than 100% in 2018 and more than 200% in 2019.
“Even though we are relentlessly developing online store, but we do not leave the retails behind. At this moment, we operate 3 Hong Thong Rice retail stores named “Hong Thong Health Station”. We recently bought 4 healthcare shops named “Bai Miang”. We are certain that consumers can definitely reach our product”, Mrs. Sopan added.
For 80th anniversary of Hong Thong Rice, Mrs. Sopan announced that “We invented and developed new products as an alternative for consumer. The new product already available in the market is called “Zuper Rice” which is the combination of 3 kinds of super brown rice and the antioxidant found in them is 6 times higher than what is found in typical brown rice. Another product will be launched in 3rd quarter. It is the rice for fluffy and tender rice lovers at a reasonable price – good for current rice market situation. We conduct special activities to attract consumers throughout this year, including selling our products at special prices at leading hypermarket such as Big C or Tesco Lotus. Those activities are conducted to let consumers celebrate our 80th anniversary with us, and make them feel like they are one of Hong Thong Rice members.”
“Apart from making the consumers our Hong Thong Rice family member, the company have been maintaining high quality of goods, and conducting our business with honesty, keeping our words, establishing and maintaining our reputation, according to the company’s motto “Quality-led, fair price, serve honestly”. This is Hong Thong Rice’s business philosophy that we have maintained throughout 80 years”, Mrs. Sophan closed.