- Details
- Category: อุตสาหกรรม
- Published: Sunday, 22 October 2017 12:24
- Hits: 5251
เอกชน คาดปี 60 ส่งออกอาหารโต 8.4% ตามดีมานด์ตลาดโลกเพิ่ม ก่อนโตเป็น 8.7% ในปี 61
นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวถึงภาพรวมการส่งออกอาหารไทยในปี 60 คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.4% โดยประเมินว่าอุตสาหกรรมอาหารไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 60 จะยังได้รับปัจจัยสนับสนุนต่อเนื่องจากแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการส่งออกไก่ยังได้รับอานิสงส์จากกรณีการระบาดของโรคไข้หวัดนกในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และปัญหาความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยเนื้อสัตว์ของบราซิล ประกอบกับความต้องการสินค้าอาหารที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับเทศกาลเฉลิมฉลองในช่วงปลายปี จะมีส่วนกระตุ้นให้การส่งออกอาหารไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีขยายตัวต่อเนื่อง
ในช่วง 9 เดือนแรกปี 60 (ม.ค.-ก.ย.) ภาคการส่งออกสินค้าอาหารไทย มีปริมาณ 25.26 ล้านตัน มูลค่า 768,797 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตรา 8.3% และ 9.4% ตามลำดับ เนื่องจากมีความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น หลังจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น รวมถึงจีน ขณะที่เศรษฐกิจและการค้าในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาก็เริ่มปรับตัวดีขึ้น กลุ่มสินค้าหลักที่การส่งออกเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า ได้แก่ ข้าว ไก่ กุ้ง เครื่องปรุงรส ผลิตภัณฑ์มะพร้าว และอาหารพร้อมรับประทาน
“ตลาดส่งออกอาหารไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 60 ที่มีอัตราขยายตัวสูง ได้แก่ ตะวันออกกลาง (+25.2%), จีน (+22.2%), กลุ่มประเทศ CLMV (+19.9%) และแอฟริกา (+17.1%) ส่วนตลาดหลักที่ไทยส่งออกลดลง ได้แก่ อาเซียนเดิม (-10.7%), สหรัฐอเมริกา (-2.3%) และสหราชอาณาจักร (-10.9%) โดยกลุ่มประเทศ CLMV ยังคงเป็นตลาดส่งออกอาหารอันดับที่ 1 ของไทย มีสัดส่วนร้อยละ 16.6 รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น (13.5%), อาเซียนเดิม (11.6%), สหรัฐอเมริกา (10.6%), แอฟริกา (9.3%), จีน (9.0%), สหภาพยุโรป (6.0%), ตะวันออกกลาง (4.2%), โอเชียเนีย (3.3%), สหราชอาณาจักร (3.0%) และเอเชียใต้ (1.6%)" นายยงวุฒิ กล่าว
สำหรับ กลุ่มสินค้าที่การส่งออกมีปริมาณลดลงแต่มูลค่าขยายตัวสูงขึ้น ได้แก่ น้ำตาลทรายซึ่งมีมูลค่าขยายตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูงในครึ่งแรกของปี เช่นเดียวกับการส่งออกปลาทูน่ากระป๋อง หลังจากที่ผู้ผลิตมีการปรับราคาจำหน่ายสูงขึ้นสอดคล้องกับต้นทุนวัตถุดิบทูน่าที่เพิ่มขึ้นเกือบ 100% จากปีก่อน ส่วนการส่งออกผลิตภัณฑ์สับปะรด (กระป๋องและน้ำสับปะรด) เพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณหลังจากมีความต้องการจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใต้ภาวะที่ผลิตภัณฑ์สับปะรดมีราคาอ่อนตัวลงมากตามราคาวัตถุดิบสับปะรดโรงงาน
สินค้าหลักที่การส่งออกหดตัวลงทั้งปริมาณและมูลค่ามีเพียง 2 กลุ่มสินค้า คือ แป้งมันสำปะหลังดิบ (Native Starch) และน้ำผลไม้ (ไม่รวมน้ำสับปะรด) โดยการส่งออกแป้งมันสำปะหลังดิบไปตลาดหลักอย่างจีนต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากผู้ส่งออกเวียดนามที่ใช้ข้อได้เปรียบจากการส่งสินค้าผ่านชายแดนทำให้ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (13%) ขณะที่ตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 2 อย่างอินโดนีเซีย มีการหดตัวมากเช่นกัน เพราะผลผลิตมันสำปะหลังในอินโดนีเซียมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น
ส่วนการส่งออกน้ำผลไม้หดตัวลง เนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่มีการปรับปรุงระบบการผลิตน้ำมะพร้าวให้สอดรับกับมาตรฐานใหม่ที่ประกาศใช้โดย European Fruit Juice Association (AIJN) ส่งผลทำให้กำลังการผลิตลดลงในช่วงสั้นๆ คาดว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงปลายปี 60 หรือต้นปีหน้า
นายยงวุฒิ ยังกล่าวถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารไทยปี 61 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในอัตรา 8.7% โดยมีมูลค่าส่งออก 1.12 ล้านล้านบาท มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ อาเซียน สัดส่วนส่งออกประมาณ 30% ญี่ปุ่น 14% สหรัฐฯ 10% จีนและแอฟริกามีสัดส่วนเท่ากันที่ 9% เป็นต้น
ปัจจัยสนับสนุนสำคัญประกอบด้วย 1) เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประเมินอัตราขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 61 ว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 3.7% จาก 3.6% ในปี 60
2) ผลผลิตสินค้าเกษตรไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ได้แก่ ข้าว อ้อยโรงงาน สับปะรดโรงงาน กุ้ง ไก่ ส่วนผลผลิตมันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีแนวโน้มลดลง
3) ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มลดลงตามราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ จะส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ของไทย โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สำคัญ 3 รายการ ได้แก่ ข้าวโพด กากถั่วเหลือง และปลาป่น
4) ราคาสินค้าส่งออกหลักของไทยอยู่ในกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นในตลาดโลกหลายรายการ รวมถึง ข้าว ไก่ และกุ้ง และ 5) ราคาพลังงานอยู่ในระดับต่ำไม่กระทบต้นทุนสินค้า ในภาคการผลิตอุตสาหกรรมอาหารตลอดจนภาคการขนส่งมากนัก
อินโฟเควสท์