- Details
- Category: อุตสาหกรรม
- Published: Wednesday, 20 August 2014 11:10
- Hits: 3118
ชาวไร่เตรียมถกนอกรอบ 22 ส.ค. หาข้อยุติปรับโครงสร้าง
แนวหน้า : ชาวไร่เตรียมถกนอกรอบ 22 ส.ค. หาข้อยุติปรับโครงสร้าง อุตฯอ้อย-น้ำตาลทราย
แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้นโยบายการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ยังมีหลายประเด็นที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการลอยตัวราคาน้ำตาลทราย เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ล่าสุด ฝ่ายราชการเห็นว่ายังไม่จำเป็นจะต้องเร่งรีบ หากฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ยังไม่ปลดสินค้าน้ำตาลทรายออกรายการสินค้าบัญชีอ่อนไหว (Sensitive List) เพราะหากไทยลอยตัวราคาน้ำตาลทราย จะทำให้เสียเปรียบ 2 ประเทศดังกล่าว ขณะที่ประเทศอื่นๆ ไม่ได้มีสินค้าน้ำตาลทรายมาแข่งขันกับไทยอยู่แล้ว
“ตามหลักการแล้ว เห็นด้วยที่จะดึงสินค้าน้ำตาลทรายออกจากบัญชีควบคุมราคาของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเปิดให้มีการแข่งขันให้ดีขึ้น แต่ปัญหาคือ ขณะนี้โรงงานและชาวไร่อ้อย ยังคงเถียงกันอยู่ในหลายประเด็น โดยเฉพาะเงินที่เก็บจากการขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงาน 5 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) เข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาล ที่ชาวไร่ต้องการให้คงไว้ แต่โรงงานไม่ต้องการให้มีและโรงงานน้ำตาลยังไม่ต้องการให้มีการกำหนดโควตา ก. (น้ำตาลบริโภคในประเทศ)” แหล่งข่าว กล่าว
ทั้งนี้ ฝ่ายราชการได้เสนอว่า การทดลองปรับโครงสร้างนั้น ระยะแรกควรเริ่มจากการปรับการขึ้นงวดน้ำตาลทรายโควตา ก.ใหม่ จากขึ้นทุกสัปดาห์ เป็นเดือนละครั้ง และเมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหา ก็อาจเป็น 3 เดือนครั้ง หรือเฉลี่ยปีละ 4 งวด เพื่อเปิดให้มีการแข่งขันของโรงงานในการขายทำราคา และหากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ปลดสินค้าน้ำตาลออกจากบัญชีอ่อนไหว ก็ให้เดินนโยบายราคาแบบกึ่งลอยตัว คือ ยังคงเก็บ 5 บาทต่อกก. แล้วกำหนดเพดานขั้นต่ำสุดและสูงสุดไว้ซึ่งคง 5 บาทต่อกก. ไม่ผิดหลัก AEC เนื่องจากถือเป็นการเก็บค่าธรรมเนียมหรือเซอร์ชาร์จเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่มีการทำเช่นกัน
นายธีระชัย แสนแก้ว ประธานชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน กล่าวว่า ชาวไร่อ้อยและโรงงาน จะหารือรอบนอกกันในวันที่ 22 สิงหาคม 2557 เพื่อให้ได้ข้อสรุปแนวทางปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ก่อนที่จะไปจัดเวทีสัมมนาใหญ่ร่วม 3 ฝ่าย คือ ภาครัฐ ชาวไร่และโรงงาน เพื่อนำเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยยอมรับว่ายังมีหลายประเด็นที่เห็นไม่ตรงกัน ส่วนของชาวไร่ยืนยันที่จะยังคง 5 บาทต่อกก.ไว้ และราคาควรจะเป็นกึ่งลอยตัวมีเพดานไว้ดูแล แต่โรงงานส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากจะเป็นการไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
ชาวสวนร้องคสช.เร่งแก้ราคายางตกต่ำ-วงการแนะอดทนรอเหตุปัจจัยภายนอกกดดัน
นายสุรันต์ กรรไพเราะ เกษตรกรชาวสวนยางพารา อ.เมืองนครศรีธรรมราช เรียกร้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เข้ามาแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำในขณะนี้ เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ทำให้ชาวสวนยางได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก โดยเห็นว่าราคายางที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่ 80-100 บาท/กก.
ทั้งนี้ ราคายาง ณ ตลาดกลางยางพารานครศรีธรรมราชวันนี้ ราคายางแผ่นดิบ 53.69 บาท/กก. ลดลง 0.21 บาท/กก.ยางความชื้น 52.49 บาท/กก. ลดลง 0.24 บาท/กก. ยางแผ่นรมควัน 55.29 บาท/กก. ลดลง 0.32 บาท/กก โดยราคายางปรับตัวลดลงทั้งยางแผ่นดิบและยางแผ่นรมควัน เนื่องจากได้รับปัจจัยกดดันจากปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศ
แหล่งข่าวในวงการยาง กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า คงต้องขึ้นอยู่กับแนวนโยบายของ คสช.ว่าจะทำอย่างไร เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพราะมาตรการต่างๆที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้กำลังรอแนวทางการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม แต่เกษตรกรก็ต้องเข้าใจปัจจัยพื้นฐานขณะนี้ด้วยว่าผู้ซื้อรายใหญ่ โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นผู้ใช้ยางเบอร์ 1 ของโลกชะลอการซื้อตามสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ อีกทั้งมีรายงานว่าอุปทานยางปีนี้และต่อเนื่องจนถึงปีหน้ายังอยู่ในระดับสูง หลังเวียดนามประกาศจะเป็นผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลกด้วยผลผลิตกว่า 1 ล้านตันต่อปี
"อุปสงค์น้อยกว่าอุปทาน คนขายใครก็อยากขายแต่คนซื้อมันไม่มี"แหล่งข่าว กล่าว
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติเมื่อครั้งที่ผ่านมาโดยมี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ได้มีการหารือโครงการบริหารจัดการสต็อกยางของรัฐบาล ซึ่งที่ประชุมมีมติและกำหนดแนวทางการระบายสต็อกยาง 2.1 แสนตัน มี 3 แนวทางด้วยกันคือ การระบายยางออกจะต้องไม่มีผลกระทบต่อราคายางในปัจจุบัน ให้มุ่งหาตลาดใหม่ๆ ที่ไม่เคยขายมาก่อนเลย และให้ใช้ทำผลิตภัณฑ์ภายในประเทศโดยออกนอกกรอบ ไม่ให้กระทบกระเทือนต่อการซื้อขายปัจจุบัน
รวมทั้งส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศ เช่น การผสมกับยางมะตอย 5% ราดถนนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และถนนของกรมทางหลวง และจะนำไปทำตัวหนอนยาง สนามเด็กเล่น ทางเดิน เพื่อสุขภาพ สนามฟุตซอล ฯลฯ
"ท่านหัวหน้า คสช.ก็บอกแล้วว่าจะแก้ไขให้ ต้องแก้ไขให้ได้ ถ้าแก้ไขระยะสั้นไม่ได้ก็ต้องแก้ไขระยะยาว ขอร้อง ไม่ได้กลัวแต่ไม่อยากให้เสียชื่อประเทศชาติกำลังสวยงาม"แหล่งข่าว กล่าว
อินโฟเควสท์