- Details
- Category: อุตสาหกรรม
- Published: Friday, 30 January 2015 21:35
- Hits: 2494
สมอ.ปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตฯ กันเหล็กเจืออัลลอย
แนวหน้า : สมอ.ปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตฯ กันเหล็กเจืออัลลอย เข้าตีตลาดสินค้าไทย
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยถึงการดำเนินงานของสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) ว่า ในขณะนี้ได้มีเหล็กเส้นก่อสร้างเจืออัลลอยเข้ามาตีตลาดเหล็กเส้นที่ผลิตภายในประเทศไทย โดยใช้ช่องโหว่ของกฎหมายที่อนุญาตให้เหล็กที่เจืออัลลอยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า เนื่องจากเป็นเหล็กเกรดพิเศษ ที่ไม่มีการผลิตภายในประเทศ ซึ่งการที่กฎหมายเปิดช่องไว้ก็เพื่อให้สามารถนำเข้าเหล็กแผ่นเจืออัลลอยเกรดพิเศษเข้ามาผลิตสินค้าในบางชนิดได้ ทำให้ผู้ผลิตต่างชาติใช้ช่องว่างนี้เจืออัลลอยประเภทโบรอน หรือโครเมียม ในเหล็กเส้นก่อสร้างเพื่อเลี่ยงภาษีศุลกากร 5% สร้างความได้เปรียบอย่างไม่เป็นธรรมกับผู้ผลิตเหล็กเส้นภายในประเทศไทย
ทั้งนี้ สมอ.จึงได้ให้คณะกรรมการฝ่ายวิชาการไปศึกษาผลกระทบจากการเจืออัลลอยในเหล็กเส้นก่อสร้าง พบว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายในการใช้งานได้ จึงได้ปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต : เหล็กเส้นกลม มอก.20-2543 และเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต : เหล็กข้ออ้อย มอก.24-2548 ห้ามผสมอัลลอยในเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต โดยอนุญาตให้มีโบรอนได้ไม่เกิน 0.0008% หรือมีโครเมียมไม่เกิน 0.3% ซึ่งในสัดส่วนดังกล่าวจะเป็นเกรดไม่ผสมอัลลอย ดังนั้นหากเหล็กเส้นเจืออัลลอยสูงกว่าที่กำหนด ก็จะไม่สามารถใช้ในการก่อสร้างได้ หรือเป็นการปิดช่องไม่ให้เหล็กเส้นเจืออัลลอยเข้ามาสวมสิทธิ์ขอลดภาษีสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่างไม่เป็นธรรม และยังเป็นการคุมคุณภาพเหล็กเส้นให้อยู่ในมาตรฐานที่สูง
“ในการผสมอัลลอยในเหล็กเสริมคอนกรีต ไม่ได้ช่วยให้เหล็กมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด และอาจเกิดผลกระทบมากกว่า สมอ.จึงเห็นว่าควรจะปรับมาตรฐานเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคภายในประเทศไทย โดยการปรับปรุงมาตรฐานดังกล่าวขณะนี้อยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแสดงความคิดเห็น หลังจากนั้นจะดำเนินขั้นตอนทางกฎหมาย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 3-4 เดือน” นายจักรมณฑ์ กล่าว
นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ สมอ.ไปจัดตั้งศูนย์ทดสอบยางล้อและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับยาง จากนั้นจะต่อยอดไปสู่การเป็นศูนย์การทดสอบรถยนต์ทุกชิ้นส่วน ภายใต้งบโดยประมาณ 1,600-2,000 ล้านบาท เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการทดสอบรถยนต์ของอาเซียน ซึ่งในเฟสแรกจะดำเนินการในส่วนของศูนย์ทดสอบยางล้อทุกประเภท ตามมาตรฐานUNECE R117 ใช้งบประมาณ 400 ล้านบาท โดยเฟสแรกจะขอใช้งบกลางในปี 2558 แต่ถ้าไม่ได้ ก็จะของบในปี 2559 แต่ในปี 2558 นี้จะของบกลางบางส่วนไม่กี่ล้านบาทในการพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับโครงการ เพื่อให้สามารถเดินหน้าโครงการได้อย่างรวดเร็วในปี 2559 โดยมีระยะเวลาผลตอบแทนการลงทุน 12 ปี หากเก็บค่าบริการทดสอบจากภาคเอกชน