- Details
- Category: อุตสาหกรรม
- Published: Monday, 15 July 2024 22:08
- Hits: 8858
ทีเส็บขับเคลื่อน Thailand MICE One Stop Service จับมือ กต. ทอท. สตม. อำนวยความสะดวกนักเดินทางไมซ์ รับนโยบายรัฐบาล
ทีเส็บขับเคลื่อน Thailand MICE One Stop Service ศูนย์ประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกอุตสาหกรรมไมซ์ จับมือ 3 หน่วยงานพันธมิตร ทั้งกรมการกงสุล บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ร่วมดำเนินการอำนวยความสะดวกนักเดินทางไมซ์เข้าประเทศ สนองนโยบายรัฐบาลผลักดันไทยจุดหมายการจัดงานเชิงธุรกิจและเทศกาลนานาชาติเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้าและเทศกาลระดับโลก เพื่อสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมทั้งให้อำนวยความสะดวกการเดินทางเข้าประเทศของนักเดินทางธุรกิจและผู้ร่วมงาน ทีเส็บในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจเป็น National Bidder หรือผู้ยื่นประมูลสิทธิ์ในนามรัฐบาลไทย จึงพร้อมดำเนินการสนองนโยบายโดยใช้กลไกขับเคลื่อนที่ทีเส็บและหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนได้จัดตั้งขึ้น คือ Thailand MICE One Stop Service หรือศูนย์ประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกอุตสาหกรรมไมซ์
บทบาทหน้าที่ของ Thailand MICE One Stop Service คือ อำนวยความสะดวกให้กับการเดินทางเข้าเมืองของนักเดินทางไมซ์ต่างชาติ เพื่อลดทอนขั้นตอนและเวลาในกระบวนการสำคัญ อาทิ การขอวีซ่า การตรวจคนเข้าเมือง และการต้อนรับเมื่อมาถึงสนามบิน รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในการประสานงานเพื่อนำเข้าสินค้า วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือสำหรับนำมาใช้จัดงานในประเทศไทย
ส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อน Thailand MICE One Stop Service คือ การบริการอำนวยความสะดวกในการเข้าเมืองให้กับแขกวีไอพีชาวต่างประเทศ ณ สนามบิน หรือ MICE Lane Service ที่ปัจจุบันมีให้บริการ ณ สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ทั้งนี้ ในปี 2566 มีงานที่ขอใช้บริการ MICE Lane จำนวน 211 งาน ให้บริการนักเดินทางไมซ์ 6,684 คน ส่วนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-มิถุนายน) มีงานที่ขอใช้บริการ MICE Lane รวมทั้งสิ้น 160 งาน ให้บริการนักเดินทางไมซ์ 9,701 คน
เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ทีเส็บกำลังขยายบริการ MICE Lane ไปยังสนามบินนานาชาติภูเก็ตและเชียงใหม่ ที่เป็นสองเมืองไมซ์สำคัญของไทย โดยในปีนี้ ได้เปิดให้บริการแบบชั่วคราว และกำลังจะเปิดดำเนินการถาวรในปีหน้า ส่วนในปี 2569 จะเปิดให้บริการ ณ สนามบินอุดรธานี เพื่อเตรียมรองรับจำนวนนักเดินทางที่จะมาร่วมงานมหกรรมพืชสวนโลก
การจับมือกับ 3 หน่วยงานพันธมิตรถือเป็นการเตรียมต้อนรับแขกวีไอพีที่จะเดินทางมาร่วมงานใหญ่อีกหลายรายการที่ทีเส็บมีส่วนร่วมดึงมาจัดในประเทศไทย ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เช่น งาน IDF World Diabetes Congress 2025 การจัดประชุม IMF-World Bank Group ในปี 2569 งาน Global Sustainable Tourism Conference หรือ GSTC 2026 ที่จะมีผู้เข้าร่วมนับหมื่นคน
นอกจากนี้ ยังมีงานใหญ่อีกหลายรายการที่ทีเส็บกำลังดำเนินการดึงมาจัดในประเทศไทยตามนโยบายรัฐบาล เช่น การจัดการแข่งขัน Formula E ณ จังหวัดเชียงใหม่ การจัดการแข่งขัน Formula One และงาน WorldPride 2030 เป็นต้น
นายวรวุฒิ พงษ์ประภาพันธ์ อธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กรมการกงสุลพร้อมอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าให้ผู้เข้าร่วมและผู้จัดงานไมซ์ โดยจะขยายการเปิดให้บริการระบบ e-Visa ให้ครบทุกสถานทูต สถานกงสุลไทยภายในปลายปี 2567 รวมทั้งกำหนดมาตรการและแนวทางการตรวจลงตราใหม่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ ผมเชื่อมั่นว่ามาตรการต่างๆ ดังกล่าวจะสามารถรองรับและอำนวยความสะดวกให้นักเดินทางไมซ์ในการเข้าประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า ทอท. ในฐานะผู้บริหารท่าอากาศยานหลัก 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ถือเป็นประตูบานแรกที่ให้การต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลกเข้ามายังประเทศไทย พร้อมอำนวยความสะดวกและให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนภารกิจในการต้อนรับนักเดินทางกลุ่มไมซ์ รวมถึงการจัดงานในระดับนานาชาติ โดยการจัดสรรพื้นที่ภายในอาคารผู้โดยสารตลอดจนการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงการประชาสัมพันธ์การจัดงานไมซ์ และร่วมส่งมอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ให้เติบโต เพื่อร่วมมือกันดึงดูดให้มีการเดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นการนำเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ สร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมต่อไป
พล.ต.ต. เชิงรณ ริมผดี ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 กล่าวว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล โดยมี 3 มาตรการหลัก คือ 1) มาตรการการยกเว้นวีซ่าและขยายระยะเวลาการพำนักตามนโยบายรัฐบาล โดยมีการกำหนดสัญชาติที่ได้รับยกเว้นวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยวหรือทำงาน/ติดต่อธุรกิจระยะสั้น 60 วัน โดยสามารถขออยู่ต่อได้อีก 30 วัน ซึ่งเป็นการประกาศให้ประเทศที่ได้รับสิทธิเดิม และเพิ่มประเทศที่ได้รับสิทธิใหม่ด้วย โดยจะประกาศใช้วันที่ 15 กรกฎาคม 2567 นี้ การให้สิทธิ Visa on Arrival (VOA) และเพิ่มการตรวจลงตราประเภทใหม่ Destination Thailand Visa (DTV) 2) มาตรการการคัดกรองโดยใช้เทคโนโลยี อำนวยความสะดวกภายใต้หลักความมั่นคง ได้แก่ ระบบคัดกรองล่วงหน้า APPS ที่สามารถตรวจสอบคัดกรองล่วงหน้าจากประเทศต้นทางว่าผู้โดยสารมีข้อมูลหมายจับหรือบุคคลเฝ้าระวัง และเป็นบุคคลต้องห้ามตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ หรือไม่ การพัฒนาช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติรองรับคนไทยและคนต่างชาติในกลุ่ม E-passport ในอนาคต เป็นต้น 3) มาตรการด้านการบริหารจัดการเพิ่มกำลังพลเต็มทุกช่องตรวจในช่วงเวลาที่ผู้โดยสารเดินทางหนาแน่น (peak hour) และการประสานงานร่วมกับทีเส็บเพื่อจัดช่องทางพิเศษเฉพาะกลุ่มนักเดินทางไมซ์
“การอำนวยความสะดวกการเข้าเมืองเกี่ยวข้องกับภารกิจของหลายหน่วยงาน ทีเส็บและ 3 หน่วยงานพันธมิตร ทั้งกรมการกงสุล บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 จึงร่วมมือประกาศความพร้อม และส่งสัญญาณให้ความมั่นใจกับตลาดต่างประเทศว่า ประเทศไทยมีการเตรียมความพร้อมรองรับงานไมซ์และนักเดินทางไมซ์และผลักดันให้การจัดงานในประเทศไทยไร้รอยต่อมากที่สุด” นายจิรุตถ์กล่าวทิ้งท้าย
7464