- Details
- Category: อุตสาหกรรม
- Published: Saturday, 02 May 2020 16:56
- Hits: 6501
BLCP สนองต่อนโยบายรัฐและ กนอ. ลดการใช้น้ำดิบได้ถึง 100% เพื่อให้เกษตรกรและชาวระยองมีน้ำใช้อย่างเพียงพอช่วงวิกฤตภัยแล้ง
จากการคาดการณ์ตั้งแต่ปลายปี 2562 เขตภาคตะวันออกจะประสบกับภาวะภัยแล้งขาดแคลนน้ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของประเทศอย่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 3 จังหวัด ได้เแก่ ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-ระยอง ทั้งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ที่ผ่านมาการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) มีแผนในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกมาโดยตลอด
และในปีนี้ (2563) กนอ. ได้ขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ ในการปรับลดปริมาณการใช้น้ำร้อยละ 10 แต่เนื่องจากโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่ได้ปิดซ่อมบำรุงใหญ่(Shutdown/Turnaround)สำหรับผู้ประกอบกิจการ เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเริ่มเปิดเดินเครื่องการประกอบกิจการในช่วงเดือนมีนาคม 2563 จึงทำให้ปริมาณการใช้น้ำเพิ่มขึ้นจากโควต้าที่ได้รับ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 พบว่าการใช้น้ำในนิคมอุตสาหกรรมลดลง ซึ่งเป็นความร่วมมือของ กนอ.และผู้ประกอบการโรงงานในพื้นที่ในการปรับลดปริมาณการใช้น้ำลง 10% ตามแผนที่ได้วางไว้ อย่างไรก็ตาม กนอ. ขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ดำเนินการตามแผนการลดปริมาณน้ำต่อไปอย่างต่อเนื่อง
นายยุทธนา เจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมสนับสนุนและให้การช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง เดิมนั้นบริษัทฯ รับน้ำดิบจาก บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ ‘อีสวอเตอร์’ โดยเฉลี่ยประมาณ 23,500 ลบ.ม./เดือน หลังจากที่ กนอ. ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมให้ลดการใช้น้ำดิบลง 10% บริษัทฯได้มีมาตรการลดการใช้น้ำ และมีนโยบายผลิตน้ำประปาและน้ำดิบจากน้ำทะเล (Reverse Osmosis Sea water Desalination Plant: RO Water) ไว้ใช้ภายในบริษัทฯ แม้ว่าการดำเนินการจะมีต้นทุนค่อนข้างสูงกว่าการใช้น้ำดิบก็ตาม
โดยในเดือนมกราคม 2563 ใช้น้ำดิบอยู่ที่ 20,205 ลบ.ม. กุมภาพันธ์ 2563 ลดลงเหลือ 5,054 ลบ.ม. และตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นมา บริษัทฯ ได้แจ้งความประสงค์หยุดรับน้ำดิบจากอีสวอเตอร์ เพื่อสนองต่อนโยบายภาครัฐและ กนอ. โดย BLCP ได้นำน้ำทะเลมาผลิตเป็นน้ำจืด (RO Water) เพื่อใช้ทดแทนน้ำดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิตไฟฟ้า รวมถึงใช้สำหรับสาธารณูปโภค และใช้รดน้ำต้นไม้ซึ่งเป็นพื้นที่สีเขียวภายในบริษัทฯ ทั้งหมด จนทำให้สามารถลดปริมาณการใช้น้ำดิบจากอีสวอเตอร์ ‘เหลือศูนย์’ จนถึงปัจจุบัน และจนกว่าสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
มาตรการลดการใช้น้ำของ BLCP ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจาก กนอ. และชุมชนโดยรอบโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี อาทิ ชุมชนเขาไผ่ ได้กล่าวขอบคุณโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีที่ยกเลิกไม่ใช้น้ำดิบ 100% และหันไปใช้น้ำ RO ที่บริษัทฯ ผลิตได้เองซึ่งมีราคาค่อนข้างสูงกว่าน้ำดิบ ทั้งนี้ เพื่อให้มีปริมาณน้ำเหลือเพียงพอกับภาคประชาชน โดยเฉพาะภาคเกตรกรรม ที่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำเป็นปริมาณมากในช่วงที่ผลไม้ต่างๆ กำลังผลิดอกออกผล และจากสถานการณ์แพร่ระบาด 'ไวรัสโคโรน่า' (COVID-19) ที่ประชาชนทุกคนจำเป็นต้องใช้น้ำทำความสะอาดบ้านเรือน โรงไฟฟ้าบีแอลซีพีขอมีส่วนร่วมในการช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤตด้วยความเกื้อกูลและการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนของภาคอุตสาหกรรมและชาวระยอง เพราะ “น้ำ” คือ ความมั่นคงของประเทศ” นายยุทธนากล่าว
บีแอลซีพีร่วมสร้างสังคมน่าอยู่ เคียงคู่ชุมชนอย่างยั่งยืน
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web