- Details
- Category: อุตสาหกรรม
- Published: Monday, 13 October 2014 19:20
- Hits: 2787
ไทยครองแชมป์ปั้นเถ้าแก่ปูพรมอับเครคิตเอสเอ็มอี
บ้านเมือง : ล่าสุดประเทศไทยครองแชมป์การเริ่มธุรกิจ หรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมความเป็นผู้ประกอบการสูงสุดเป็นลำดับต้นๆ หลัง สสว. แจงผลการศึกษาความเป็นผู้ประกอบการในประเทศไทยปีนี้ พบประเทศที่ทำการศึกษาจำนวน 63 ประเทศทั่วโลก หรือ 19.2% และมีอายุการประกอบธุรกิจมากกว่า 3.5 ปีขึ้นไป 28.6% สูงเป็นอันดับหนึ่งในประเทศกลุ่มอาเซียน+3
สสว.เดินหน้าติวเข้มผู้ประกอบการ
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ดำเนินโครงการจัดทำข้อมูลเชิงเปรียบเทียบเพื่อการพัฒนา (GEM : Global Entrepreneurship Monitor) ปี 2557 โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาสถานภาพ และระดับความเป็นสังคมผู้ประกอบการของประเทศไทย รวมทั้งทัศนคติการมีส่วนร่วมของประชากรในกิจกรรมด้านการเป็นผู้ประกอบการ และปัจจัยแวดล้อมที่เกื้อหนุนต่อการเติบโตของผู้ประกอบการ โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายการวิจัยในโครงการ Global Entrepreneurship Monitor (GEM) โดยเป็นการประเมินและเปรียบเทียบความเป็นผู้ประกอบการทั่วโลก ซึ่งมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายการวิจัยกับ GEM รวมกว่า 63 ประเทศทั่วโลก
การศึกษาความเป็นผู้ประกอบการในประเทศไทยปี 2557 โดยเปรียบเทียบสถานภาพและประเมินระดับความเป็นสังคมผู้ประกอบการของประเทศไทย แบ่งการศึกษาข้อมูลออกเป็น 2 ส่วน สามารถสรุปผลการศึกษาในประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้ 1.การศึกษากิจกรรมความเป็นผู้ประกอบการในประเทศไทย จากการศึกษาเปรียบเทียบข้อมูลกิจกรรมความเป็นผู้ประกอบการไทยปี 2556 กับประเทศในกลุ่มอาเซียน+3 กลุ่มสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยประมวลผลจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3,000 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนการเริ่มธุรกิจของผู้ประกอบการสูงที่สุด คิดเป็น 19.2% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด แนวโน้มทัศนคติของคนไทยต่อการเป็นผู้ประกอบการปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 56 โดยผลสำรวจด้านความกลัวที่จะล้มเหลวในการประกอบธุรกิจลดลง 8.12% สอดคล้องกับผลการศึกษาด้านทักษะความรู้และประสบการณ์ที่จำเป็นในการเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งเพิ่มมากขึ้น 7.75% ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างให้ความสำคัญในเรื่องผู้ประกอบการมีคุณภาพชีวิตที่เท่าเทียมกับมาตรฐานสังคมสูงสุด คิดเป็น 82.6% แต่มีทัศนคติในการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการน้อยที่สุด คิดเป็น 37.9%
ผนึกกำลังตั้งธุรกิจใหม่
ทั้งนี้ ผลการเปรียบเทียบกลุ่มตัวอย่างวิสาหกิจขนาดกลางกับวิสาหกิจขนาดย่อมของประเทศไทยในปี 2557 พบว่า วิสาหกิจขนาดกลาง มีผลสำรวจในทุกด้านสูงกว่าวิสาหกิจขนาดย่อม กล่าวคือ กลุ่มตัวอย่างของวิสาหกิจขนาดกลางมีการศึกษาในระดับอุดมศึกษา มีพื้นฐานสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นผู้ริเริ่มดำเนินธุรกิจหรือมีธุรกิจส่วนตัวมาก่อน คิดเป็น 60% โดย 44.6% ได้จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อขายผลิตภัณฑ์หรือบริการสำหรับธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 58.1
ในขณะที่กลุ่มวิสาหกิจขนาดย่อม ส่วนใหญ่มีการศึกษาในระดับประถมและมัธยมศึกษา 38.1% มีพื้นฐานสมาชิกครอบครัวเคยดำเนินธุรกิจหรือมีธุรกิจส่วนตัว โดย 19.2% ได้จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และมีเพียง 12.8% ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการสำหรับธุรกิจ ทั้งนี้ ในส่วนทัศนคติมุมมองวิสาหกิจขนาดกลางมองว่า ในประเทศไทยมักได้รับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับความสำเร็จในการก่อตั้งธุรกิจใหม่ตามสื่อต่างๆ อยู่เสมอ สูงกว่าวิสาหกิจขนาดย่อม ในขณะที่การเป็นผู้ประกอบการ การก่อตั้งธุรกิจใหม่ เป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพที่คนส่วนใหญ่ปรารถนา เป็นทัศนคติมุมมองที่วิสาหกิจขนาดย่อมให้ความสนใจสูงกว่ากลุ่มวิสาหกิจขนาดกลาง
2.การศึกษาสภาพแวดล้อมความเป็นผู้ประกอบการ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญในประเทศใน 9 สาขาธุรกิจ เพื่อประเมินสภาพแวดล้อมในการเริ่มต้นธุรกิจของผู้ประกอบการในด้านสังคม วัฒนธรรม และเชิงนโยบาย พบว่าปัจจัยอุปสรรคที่ส่งผลต่อการพัฒนาสังคมความเป็นผู้ประกอบการ 3 อันดับแรก คือ 1.การสนับสนุนทางการเงิน คิดเป็น 69.64% แม้ว่าจะมีการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารพาณิชย์มากขึ้นในปัจจุบัน แต่การช่วยเหลือดังกล่าวยังคงไม่เพียงพอ เนื่องจากเงื่อนไขการอนุมัติที่ยังขาดความยืดหยุ่น 2.การเปิดกว้างของตลาด คิดเป็น 32.77% แม้ว่าผู้บริโภคในประเทศจะมีการเปิดรับต่อสินค้าและบริการใหม่ๆ แต่ผู้ประกอบการรายเล็กในประเทศไทยยังคงไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาดอย่างเสรี เนื่องจากยังคงมีการกีดกันจากธุรกิจรายใหญ่ และ 3.นโยบายภาครัฐที่ยังขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ คิดเป็น 32.23% เมื่อประกอบกับสถานการณ์ทางการเมือง จึงอาจจะส่งผลต่อความไม่ต่อเนื่องของโครงการต่างๆ ทำให้ผู้ประกอบการไม่มั่นใจเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐในระยะยาว
จับตาปัจจัยรุมเร้าเอสเอ็มอี
ในส่วนของปัจจัยอุปสรรคต่อการขยายธุรกิจจากขนาดเล็กสู่ขนาดกลาง พบว่า สอดคล้องกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาสังคมความเป็นผู้ประกอบการในอันดับแรก คือ การสนับสนุนทางการเงิน คิดเป็น 66.67% เนื่องจากสถาบันการเงินส่วนใหญ่ยังคงมีแนวโน้มที่จะปล่อยสินเชื่อให้แก่วิสาหกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางมากกว่าวิสาหกิจขนาดย่อม 2.การเปิดกว้างของตลาด คิดเป็น 38.89% เนื่องจากยังคงได้รับการกีดกันทางการค้าจากคู่แข่งขนาดใหญ่ทั้งในและจากต่างประเทศ 3.การเข้าถึงข้อมูลและเครือข่ายธุรกิจ คิดเป็น 36.11% และ 4.ทักษะและความสามารถของผู้ประกอบการ คิดเป็น 30.56% เนื่องจากผู้ประกอบการรายเล็กส่วนใหญ่ยังคงขาดทักษะในการบริหารจัดการธุรกิจ จึงทำให้ไม่สามารถขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยกเครื่อง SMEs แห่งชาติ
ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีประกาศให้ สสว.มาอยู่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหา และพัฒนาเพื่อยกระดับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีอยู่กว่า 2.7 ล้านรายทั่วประเทศ โดยผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ