- Details
- Category: อุตสาหกรรม
- Published: Thursday, 02 October 2014 17:00
- Hits: 3402
ว่าที่ปลัดอุตฯป้ายแดงเร่งจัดทัพขรก.ใหม่ พร้อมใช้งบค้างท่อ 170 ล.
แนวหน้า : นางอรรชกา สีบุญเรือง ว่าที่ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เรื่องเร่งด่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ต้องเร่งเข้ามาดำเนินต่อมีอยู่ 2 เรื่อง คือ เรื่องคน และเรื่องเงิน เนื่องจากขณะนี้ มีตำแหน่งข้าราชการในกระทรวงว่างอยู่เป็นจำนวนมากกว่า 30-40 ตำแหน่ง เช่น ในระดับอธิบดี ผู้อำนวยการ ซึ่งว่างสะสมมาเรื่อยๆ อีกทั้งยังมารวมกับตำแหน่งที่เกษียณแต่เรื่องการจัดการคนคงต้องใช้เวลาในการดำเนินงาน เพราะมีหลายขั้นตอน ซึ่งการพิจารณาโยกย้ายข้าราชการจะพิจารณาจากอาวุโสในการทำงาน และความสามารถควบคู่กันไป
ขณะเดียวกัน ต้องเร่งใช้เงินงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมาย โดยภายในไตรมาส 1 ของปีงบประมาณ 2558 ต้องเร่งใช้งบประมาณให้ได้ 30% จากงบประมาณรวมประมาณ 5,800 ล้านบาท ขณะที่งบประมาณอบรมต้องใช้ให้ได้ 50% รวมถึงการใช้งบประมาณค้างท่อที่เหลือจ่ายของปีงบประมาณ 2557 จำนวน 170 ล้านบาท ซึ่งเมื่อสามารถแต่งตั้งบุคลากรได้ครบก็จะสามารถเร่งดำเนินการทำโครงการต่างๆ ตามที่วางแผนไว้ได้ โดยจะมีการเร่งแต่ละกรมและหน่วยงานต่างๆ มาพูดคุยให้เร่งใช้งบประมาณเช่นเดียวกัน
"งานเร่งด่วนคงเป็นเรื่องการจัดทัพกำลังคนใหม่ที่ขณะนี้มีตำแหน่งว่างทุกระดับซี 9 -10 จำนวน 30-40 ตำแหน่ง ซึ่งทำให้เวลานี้การจะมอบหมายงานยังลำบากเพราะมีจำนวนไม่น้อยที่ยังคงเป็นตำแหน่งรักษาการอยู่ แต่ยอมรับว่าการแต่งตั้งก็ต้องใช้เวลาเหมือนกันเพราะจะต้องมีขั้นตอนซึ่งส่วนนี้คงใช้เวลาเป็นเดือน โดยการแต่งตั้งยืนยันว่าจะเน้นหลักอาวุโส และความสามารถ" นางอรรชกา กล่าว
ขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของกระทรวงจะเน้นการส่งเสริมผู้ประกอบการในระดับเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการโอทอป เช่น การส่งเสริมการขาย พัฒนาผู้ประกอบการ ส่วนกรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จะเน้นการดำเนินการเรื่องสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะ และการออกใบอนุญาตที่มีการปรับปรุงขั้นตอนการทำงาน โดยจะเน้นการทำงานอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน
นางอรรชกา กล่าวว่า ในส่วนการดำเนินงานของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ปี 2558 กสอ. ได้รับงบประมาณในการทำโครงการเออีซีจำนวน 160 ล้านบาท โดยจะเน้นการผลักดันให้เอสเอ็มอีไปลงทุนและดูลู่ทางการค้ายังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน รวมถึงพัฒนาผู้ประกอบการในเชิงลึก เช่น การหาผู้เชี่ยวชาญเข้าไปดูแลผู้ประกอบการ ทำกลยุทธ์การตลาด เพื่อเตรียมที่จะออกไปสู่ตลาดต่างประเทศอย่างแท้จริง โดยจะต่างจากเดิมที่เน้นการอบรม
นอกจากตลาดในประเทศอาเซียนแล้ว กลุ่มประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ก็เป็นอีกกลุ่มสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยสนใจ ทั้งการเข้าไปเจาะตลาดและไปหาความรู้ เช่น ญี่ปุ่น ที่ปัจจุบันมีความร่วมมือกันค่อนข้างมาก และตลาดใหม่อย่างประเทศอินเดียที่น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยในปี 2558 ได้ตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาผู้ประกอบการในโครงการเออีซีจำนวน 600 กิจการ สร้างเครือข่าย 14 เครือข่าย พัฒนาผู้ประกอบการรวม 5,000 ราย