- Details
- Category: อุตสาหกรรม
- Published: Friday, 01 June 2018 18:47
- Hits: 5472
กนอ.จับมือ ROJNA ตั้งนิคมฯ โรจนะแหลมฉบัง จ.ชลบุรี คาดใช้เงินลงทุนราว 2.7 พันลบ.
นางสุวัทนา กมลวัทนนิศา รองผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการ กนอ.มีมติให้ กนอ.ลงนามในสัญญากับ บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJNA) จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมโรจนะแหลงฉบัง จ.ชลบุรี บนพื้นที่ประมาณ 843 ไร่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ EEC ภายใต้แนวคิดเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเบาที่ทันสมัยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอุตสาหกรรมดิจิทัล เป็นต้น โดยมีมูลค่าการลงทุนของโครงการราว 2,700 ล้านบาท โดยจะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการราว 2 ปี และคาดว่าจะสามารถขายพื้นที่หมดภายในระยะเวลา 3 ปี ก่อให้เกิดรายได้กว่า 3,400 ล้านบาท
โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ทำเลที่ตั้งของโครงการ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เป้าหมายโครงการ EEC ทำให้ผู้ประกอบการสามารถได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้มาตรการส่งเสริมของ EEC และมีนิคมฯ ใกล้เคียงในรัศมี 50 กิโลเมตร กว่า 5 นิคมฯ เพื่อเป็นการรองรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่มีความสนใจในพื้นที่ โดยนิคมฯ ดังกล่าวมีการใช้ประโยชน์ที่ดินโครงการแบ่งเป็น เขตอุตสาหกรรม 72.94% พื้นที่ระบบสาธารณูปโภค 16.00% และพื้นที่สีเขียว 11.06%
นอกจากนี้ กนอ.ยังมีมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการให้ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมนอกเหนือจากสิทธิประโยชน์การลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ด้วยการลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 50% เพิ่มอีก 5 ปีจากเกณฑ์ปกติ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ได้มีการประกาศ 21 นิคมอุตสาหกรรม เป็นเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้ช่วยดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนในพื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น และยังส่งผลให้ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมหลายรายสนใจยื่นเรื่องขอจัดตั้งเป็นเขตส่งเสริม และได้มีนิคมฯ ที่ได้รับการประกาศเป็นเขตส่งเสริมอีกหลายแห่ง
สำหรับ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ แหลมฉบัง ถือเป็น Flagship ใน EEC แล้วก็จะมีโครงการที่ดำเนินการโดย CP ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นนักลงทุนจีน อีก 3 พันไร่ ถือเป็น 1 ใน 5 โครงการใหม่ที่บอร์ดการนิคมฯ อนุมัติมาเมื่อต้นปี 61 แล้วก็ยังมีโครงการ Smart Park ของ กนอ.เองอีก 1,200 ไร่
"ความที่ซีพีมีพื้นฐานทางธุรกิจกับจีนเยอะ การทำ Marketing กับจีนค่อนข้างสะดวก สามารถโฟกัสกลุ่มนักลงทุนจีนได้ ซึ่งจะเน้นไปกลุ่ม S-Curve เต็มที่ใช้เทคโนโลยีสูง"
นางสุวัทนา กล่าวเพิ่มเติมถึงการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการลงทุนและการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายว่า ขณะนี้ความคืบหน้าในการดำเนินงานดังกล่าว โดยในด้านการจัดสรรที่ดิน ระบบสาธารณูปโภค และสิ่งแวดล้อม กนอ.ได้มีการสนับสนุนผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก และระบบสาธารณูปโภคเพื่อรองรับการลงทุนจากภาคอุตสาหกรรมเพิ่มเติม พร้อมด้วยการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการด้านเขต/สวนอุตสาหกรรมเดิม ดำเนินการยกระดับพื้นที่ของตนเองให้เข้าสู่การเป็นนิคมอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาสู่การเป็นเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดหาที่ดินเพื่อรองรับการลงทุนเพิ่มเติมอีกประมาณ 11,000 ไร่ ทั้งในจังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดฉะเชิงเทรา รวมถึงวางแผนด้านการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในนิคมฯ ให้เป็นไปตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมตามรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ของ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) โดยจะเน้นในเรื่องกระบวนการลดมลพิษ การรองรับปริมาณและการกำจัดขยะอุตสาหกรรม รวมถึงเร่งพัฒนาให้นิคมฯ มีความเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศมากขึ้น
"กนอ.ได้รับมอบหมายให้จัดพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการลงทุนของอุตสาหกรรมประเภท S-Curve 1.5 หมื่นไร่ ตอนนี้ทำไปได้กว่าครึ่งทางแล้ว ซึ่งก็มีทั้งพื้นที่นิคมฯเดิมที่ยังใช้ได้อยู่ และโครงการใหม่ๆ เช่น โครงการของโรจนะ แหลมฉบัง และกำลังตามมาอีกเยอะ ซึ่งมั่นใจว่าจะทำได้และอาจจะได้มากกว่าเป้าหมายด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ได้ในนิคมฯ เดิมประมาณ 1 หมื่นไร่เศษ และมีนิคมฯ ใหม่อีกเกือบหมื่น เพราะฉะนั้นน่าจะไม่มีปัญหา"
อย่างไรก็ตาม ในการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย จะมีการใช้พื้นที่สำหรับโครงการลงทุนน้อยกว่าโครงการลงทุนทั่วไป เพราะมีระดับเทคโนโลยีสูงกว่า ซึ่ง กนอ. มั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการของนักลงทุนในพื้นที่ EEC อย่างแน่นอน
ด้านการให้บริการ กนอ.ได้มีการดำเนินการร่วมกันกับ สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ในการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จครบวงจร One Stop Service เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนที่สนใจดำเนินการในพื้นที่ EEC ที่จะมีความรวดเร็วและครบวงจร อาทิ การพัฒนาระบบอนุมัติอนุญาตทางอิเล็กทรอนิกส์ในเขตประกอบการเสรี เพื่อลดขั้นตอนการผ่านพิธีการศุลกากรสำหรับสินค้าเข้า – ออก เพื่อช่วยประหยัดต้นทุนและเวลาในการดำเนินธุรกรรมของผู้ประกอบการ ตลอดจนศูนย์ SME – ITC ที่จะช่วยให้กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้รับองค์ความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ๆที่ทันสมัยจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ ต่อเนื่องถึงการเชื่อมโยงเพื่อเป็นฐานการผลิตระหว่างกันต่อไป
การเร่งพัฒนาเมกะโปรเจกต์ เพื่อเป็นฐานรองรับการผลิต การลงทุน ซึ่งได้แก่ ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งในเดือนมิถุนายนนี้จะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนแบบเฉพาะรายอีกหนึ่งครั้ง ทั้งในเรื่องของรูปแบบการร่วมลงทุน ความต้องการในด้านสิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภค รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ ส่วนอีกหนึ่งโครงการที่สำคัญคือ โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ทปาร์ค ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อรองรับการลงทุนอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และดิจิทัล อยู่ในช่วงสรุปผลการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยคาดว่าเร็วๆนี้ จะทราบผลดังกล่าว และเดินหน้าประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศได้ทราบถึงข้อมูลที่สำคัญต่อไป
การพัฒนานิคมฯ ใหม่เพื่อรองรับการลงทุน ในขณะนี้มีผู้ประกอบการในพื้นที่ EEC สนใจส่งเรื่องจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในลักษณะร่วมดำเนินงาน กับ กนอ.จำนวนรวมแล้วไม่น้อยกว่า 15 ราย ซึ่ง กนอ.กำลังอยู่ในระหว่างพิจารณา
การส่งเสริมด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพราะนวัตกรรมและเทคโนโลยี และระบบต่างๆที่เป็นดิจิทัล เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยดึงดูดการลงทุนใน EEC อย่างมีนัยสำคัญ เช่นการพัฒนานิคมฯ Smart Park ให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่รองรับการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมด้านดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีอันทันสมัย พร้อมกันนี้ กนอ.ได้ศึกษาการนำระบบเทคโนโลยีประมูลจากเมืองโอตะมาใช้ในระเบียงฯผลไม้ และยังจะมีการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆให้มีความทันสมัย เช่น สิ่งก่อสร้างประหยัดพลังงาน ระบบ IoT ที่จะเชื่อมต่อกับเครื่องมือต่างๆและการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมถึงการส่งเสริมกำลังคนด้านดิจิทัลและนวัตกรรม จากการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยกลุ่มบิ๊กบราเธอร์ ที่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่จากไทยและต่างประเทศภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ SME - ITC
อินโฟเควสท์