- Details
- Category: เศรษฐกิจทั่วไป
- Published: Friday, 05 November 2021 12:46
- Hits: 13182
MyCloudFulfillment สตาร์ทอัพด้านคลังสินค้าออนไลน์
ปิดดีลระดมทุนรอบ Series B 7.4 ล้านเหรียญสหรัฐ
จาก JWD และ SCB 10X เผยตลาดอีคอมเมิร์ซยังเติบโตต่อเนื่อง
MyCloudFulfillment ผู้ให้บริการคลังสินค้าออนไลน์ (Order Fulfillment) ชั้นนำของประเทศไทย ประกาศปิดดีลระดมทุนรอบ Series B จาก 2 พันธมิตรยักษ์ใหญ่อย่าง JWD และ SCB 10X เสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจ พร้อมก้าวสู่ความเป็นอันดับ 1 ในบริการ fulfillment สำหรับธุรกิจออนไลน์
นายนิธิ สัจจทิพวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง MyCloudFulfillment หรือบริษัท อี-เอ็มพาวเวอร์เมนท์ จำกัด เผยถึงการระดมทุนในครั้งนี้ว่า การระดมทุนในรอบนี้มีมูลค่ากว่า 7.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณกว่า 250 ล้านบาท) โดยเม็ดเงินระดมทุนทั้งหมดในรอบนี้จะนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพด้านคลังสินค้าและการรองรับลูกค้า ขยายทีมบริหารและทีมงานส่วนการพัฒนาระบบ และขยายพื้นที่บริการไปสู่ต่างประเทศ ตอบรับความต้องการด้านบริการที่เติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
“การระดมทุนรอบนี้เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา ไม่เพียงแต่เงินลงทุนที่จะช่วยในการเพิ่มศักยภาพในการเติบโตมากขึ้น แต่เรายังได้พาร์ทเนอร์คนสำคัญที่จะร่วมกันช่วยหาลูกค้า พัฒนาคลังสินค้าและขยายบริการให้ครอบคลุมตามความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรมอีกด้วย การจับมือกับ JWD ในคราวนี้คือการดึงความสามารถที่ดีที่สุดของทั้งสองฝ่ายมาเชื่อมเข้าด้วยกัน โดยที่ MyCloudFulfillment จะเป็นคนซัพพอร์ตเรื่องระบบคลังสินค้า ระบบจัดการออเดอร์ และการดำเนินงานในคลังสินค้า ส่วน JWD จะซัพพอร์ตเรื่องการลงทุนด้านคลังสินค้า พวกเราสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐาน และประสบการณ์ด้านโลจิสติกส์ของ JWD ที่มีอยู่ ในการขยายธุรกิจให้รวดเร็ว และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ส่วน JWD ยังสามารถให้บริการ fulfillment แบบเต็มประสิทธิภาพให้ลูกค้าตัวเองได้อย่างรวดเร็วทันที ยิ่งไปกว่านั้นเรายังสามารถนำผลิตภัณฑ์ด้านการเงินของ SCB 10X มาใช้เพื่อช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าของเราอีกด้วย”
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้เข้าร่วมลงทุนกับ MyCloudFulfillment ในรอบ Series B นี้ ทาง JWD เล็งเห็นถึงความสามารถในการจัดการออเดอร์ การดูแลลูกค้า และการขยายคลังได้อย่างรวดเร็ว พวกเราจึงมั่นใจและลงทุนในบริษัท ซึ่งมีการเติบโตอย่างดีตามเทรนด์ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ด้าน JWD เองเรามีประสบการณ์โลจิสติกส์ที่สั่งสมมายาวนานทั้งในและต่างประเทศ มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีการลงทุนคลังสินค้าหลายประเภทในทำเลยุทธ์ศาสตร์ และฐานลูกค้าครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เมื่อผนวกเข้ากับความเชี่ยวชาญของ MyCloudFulfillment ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพไทยชั้นนำ มีเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ซึ่งเป็น asset สำคัญ สามารถเชื่อมต่อกับทุกแฟลตฟอร์มออนไลน์และการทำ data mining ช่วยจัดการออเดอร์หลังบ้านได้ง่ายและไร้รอยต่อ นั่นจึงทำให้ JWD เองสามารถเริ่มต้นทำบริการ Fulfillment ได้ภายใน 2 เดือน การร่วมมือกันนี้ช่วยเพิ่มสปีดของทั้งสองฝั่ง ในการขยายคลังสินค้าออนไลน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพิ่มความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันทันที และ สามารถช่วยกันพัฒนา Fulfillment ให้ล้ำสมัยที่สุด โดยยังคงเน้นเรื่องความใส่ใจในงานบริการและความเป็นผู้เชี่ยวชาญ พวกเรามั่นใจว่า MyCloudFulfillment จะสามารถเป็นผู้นำด้าน Order Fulfillment ได้อย่างแน่นอน”
นางมุขยา พานิช Chief Venture and Investment Officer บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) กล่าวว่า “SCB 10X มีความยินดีและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนของ MyCloudFulfillment สตาร์ทอัพชั้นนำด้านคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจรของประเทศไทย ตั้งแต่การระดมทุนในรอบ Series A เมื่อปีที่ผ่านมา โดยเรายังคงให้การสนับสนุนต่อเนื่องในการระดมทุนรอบ Series B ร่วมกับ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน และจากสถานการณ์โควิด-19 เราพบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการนำเอาดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาผสานกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน รวมถึงการนำมาปรับใช้ในเรื่อง Digital Transformation ขององค์กรต่างๆ อีกด้วย โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมาเราเห็นถึงการเพิ่มขึ้นของโซเชียลคอมเมิร์ซและอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้คนหันมาใช้บริการออนไลน์กันมากขึ้น ดังนั้น สตาร์ทอัพที่สามารถให้บริการด้าน fulfillment และโลจิสติกส์ จะยังคงได้รับประโยชน์อย่างมากจากการเติบโตนี้”
“MyCloudFulfillment ผู้ให้บริการคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจรแบบไร้รอยต่อ ด้วยบริการที่ครอบคลุมด้านคลังจัดเก็บสินค้า แพ็คสินค้า การสั่งซื้อแพ็กเกจจิ้ง และจัดส่งสินค้าให้กับธุรกิจโซเชียลคอมเมิร์ซ อีคอมเมิร์ซ และ Omnichannel จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของโซเชียลคอมเมิร์ซและอีคอมเมิร์ซในปัจจุบัน นอกจากการสนับสนุนผ่านการลงทุนในการระดมทุนรอบ Series B แล้ว เรายังคงมีแผนในการพัฒนาโซลูชันต่างๆ ร่วมกัน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ด้านโซเชียลคอมเมิร์ซในอนาคต เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ประกอบการรวมถึงลูกค้าอีกด้วย” นางมุขยา กล่าวเสริม
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา MyCloudFulfillment มียอดออเดอร์เติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 300,000 ออเดอร์ต่อเดือน ซึ่งเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้วกว่า 3 เท่า และได้มีการขยายคลังสินค้าจากเดิม 2 แห่ง ที่ลาดกระบังและรังสิต พื้นที่รวมกว่า 10,000 ตารางเมตร สู่คลังสินค้าที่ 3 คลังสินค้าแห่งใหม่ ย่านมีนบุรี ด้วยพื้นที่กว่าอีก 6,500 ตารางเมตร ผ่านการร่วมมือกับ JWD Group โดยคลังสินค้าแห่งใหม่นี้จะสามารถรองรับออเดอร์ได้สูงสุดถึงวันละ 30,000 ออเดอร์ ล่าสุด MyCloudFulfillment ยังได้รับรางวัลมากมายไม่ว่าจะเป็น รางวัลเกียรติคุณ ในงานรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2564 ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น ประเภทองค์กรภาคเอกชนขนาดกลาง รางวัล Bai Po Business Awards by Sasin รวมถึง ยังเป็น 1 ใน 2 สตาร์ทอัพของไทย ที่ได้รับการคัดเลือกเป็น Forbes Asia 100 To Watch ในปีนี้อีกด้วย
“MyCloudFulfillment เป็นคลังสินค้าออนไลน์ที่เหมาะที่สุดกับคนที่ขายของหลายช่องทาง เราเชื่อมต่อกับช่องทางการขายต่างๆ ดึงออเดอร์ และอัพเดทสต๊อกคงเหลือกลับไป ไม่ว่าจะเป็น Marketplace, Website CMS, Live commerce และอื่นๆ นอกจากการเชื่อมต่อ API แล้ว ระบบของเรายังมีฟีเจอร์ต่างๆ สำหรับช่วยให้การขายเป็นไปตามอัตโนมัติ เช่น การจัดเซ็ตเสมือน การจัดการโปรโมชั่น เป็นต้น อีกทั้งบริการของเรายังสามารถปรับตามความต้องการและลักษณะเฉพาะของแต่ละร้านค้าได้ด้วย รวมถึงคลังสินค้าของเรายังมีความยืดหยุ่น ในการรองรับออเดอร์ที่มีความผันผวนสูง อย่างไรก็ตามเป้าหมายของบริษัทไม่ได้หยุดอยู่ที่แค่บริการด้านคลังสินค้า เป้าหมายสูงสุดของเราคือการเป็นผู้ช่วยคนสำคัญสำหรับธุรกิจออนไลน์ เรามีความเชื่อเสมอมาตั้งแต่ตั้งต้นว่า ทุกๆ อย่างที่เราทำ เราต้องการทำให้ธุรกิจออนไลน์จัดการร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ณ วันนี้เราช่วยเหลือลูกค้าของเราด้านการบริหารจัดการคลังสินค้า แต่สิ่งที่เราต้องการทำต่อไปคือการช่วยลดเงินจมในสต๊อก และช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย ซึ่งเราจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ผ่านการนำข้อมูลของร้านค้านั้นๆ มาวิเคราะห์อย่างละเอียด หนึ่งในสิ่งที่ทีมพัฒนาของเราพัฒนาเพื่อใช้ในปีหน้าคือ Inventory Intelligence ด้วย Machine Learning โดยเริ่มจากการเก็บข้อมูลผู้บริโภคในเชิงลึกและพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของสต๊อกสินค้าในระบบของแต่ละร้านค้า นำไปสู่การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ออกมาเป็นข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจสำหรับธุรกิจ เช่น สินค้าชิ้นไหนควรเก็บมากขึ้นหรือน้อยลง สินค้าชิ้นไหนขายแล้วมีกำไรหรือขาดทุน รูปแบบการขายชนิดนั้นสร้างยอดขายให้กับสินค้าชนิดไหน เป็นต้น”
“เรามองว่าตลาดอีคอมเมิร์ซยังมีอนาคตที่ดี ยิ่งวันมีแต่จะใหญ่ขึ้น ไม่มีวันที่จะเล็กลง ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซของเอเซียอยู่ที่ 45 ล้านล้านบาท ซึ่งใหญ่กว่าการนำมูลค่าอีคอมเมิร์ซของภูมิภาคอื่นๆ รวมกันเสียอีก ที่สำคัญ โซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังมีอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในภูมิภาคอยู่ที่ 44.2 เปอร์เซนต์ ในส่วนของประเทศไทย จากปีที่แล้ว 2020 ตลาดมีมูลค่าอยู่ที่ 2.28 แสนล้านบาท (เติบโตมาจากปี 2019 มากถึง 42 เปอร์เซ็นต์) และในปี 2021 คาดว่าตลาดมีมูลค่าอยู่ที่ 2.80 แสนล้านบาท ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นมาอีก 22 เปอร์เซ็นต์ สังเกตได้ว่าถึงแม้ว่าสถานการณ์โควิดจะดีขึ้น คนกลับมาใช้ชีวิตปกติได้มากขึ้น แต่การซื้อขายออนไลน์ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด มีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่น่าสนใจคือคนไทยมีกำลังใช้จ่ายซื้อสินค้าออนไลน์กว่า 7,290 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูง เท่าๆ กันกับอินโดนีเซียและเป็นรองแค่ประเทศสิงคโปร์ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งหมดนี้ จึงทำให้ผมเชื่อเป็นอย่างมากว่า โอกาสของอีคอมเมิร์ซไทยยังมีอีกมาก ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจประเทศของเราอาจจะฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่นๆ แต่เศรษฐกิจด้านอีคอมเมิร์ซของเรากำลังเติบโตเป็นอย่างมาก และ อนาคตแห่งการขายกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตื่นเต้น” นายนิธิ สัจจทิพวรรณกล่าว
“อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้มองถึงการขยายธุรกิจอย่างก้าวกระโดด หากแต่เราต้องการที่จะตั้งใจพัฒนาประสิทธิภาพและบริการของเราให้ดียิ่งๆ ขึ้นในทุกๆ วัน เรามองถึงการเติบโตอย่างมั่นคง เพื่อตอบจุดประสงค์หลักอันเดียวของบริษัทตั้งแต่ก่อตั้ง ให้ได้ในทุกๆ ช่วงสมัย นั่นก็คือการช่วยให้ลูกค้าจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ เติบโตได้อย่างยั่งยืน เราไม่ได้มองแค่การขยายฐานลูกค้า แต่ลูกค้าทุกคนที่เราให้บริการ เราต้องมั่นใจว่าเราช่วยเค้าได้จริงๆ เราต้องการให้ลูกค้าแต่ละคนที่ใช้บริการของเรา ขายได้มากขึ้น มีกำไรที่มากขึ้น ธุรกิจเติบโตขึ้นจริงๆ”
A11161
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ