- Details
- Category: น้ำมัน-แก๊ส
- Published: Saturday, 03 August 2024 15:14
- Hits: 6814
วิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ‘ภารกิจ 4 ปี บนภาวะวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง กองทุนน้ำมันฯ ต้องเร่งฟื้นฟูสภาพคล่อง
สรุปสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงติดลบต่อเนื่องจากการอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซหุงต้ม(LPG) นับตั้งแต่สถานการณ์โควิด กองทุนน้ำมันฯ ได้ตรึงราคาก๊าซ LPG หลังจากมีวัคซีนป้องกันโควิดได้ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
ในปี 2564 แต่ก็เกิดวิกฤตสงครามการสู้รบรัสเซีย-ยูเครนปี 2565 และความไม่แน่นอนของราคาพลังงานในปี 2566 และการกลับมาตรึงราคาดีเซลที่ 30 บาท/ลิตร เข้าสู่สถานะปัจจุบัน 2567 ที่แม้จะขยับเพดานราคาดีเซลขึ้นมาที่ 33 บาท/ลิตรแล้ว แต่ก็ยังเกิดวิกฤตจากสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเอง จนทำให้ปัจจุบันติดลบระดับกว่า 1 แสนล้านบาทอีกระลอก หลังจากที่เคยออกกฎหมายให้กระทรวงการคลังค้ำประกันการกู้ยืมเงินให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นหนี้ถึง 105,333 ล้านบาท ซึ่งต้องทยอยจ่ายคืนเงินต้นให้สถาบันการเงินในช่วงปลายปี 2567 นี้
นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ได้เข้ามารับตำแหน่งช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2563 สถานการณ์พลังงานในขณะนั้นอยู่ในภาวะชะลอตัวจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กิจกรรมด้านเศรษฐกิจมีความเคลื่อนไหวน้อยทำให้การบริโภคพลังงานลดลงตามไปด้วย ซึ่งในขณะนั้นฐานะกองทุนน้ำมันฯ เป็นบวกประมาณ 30,000 ล้านบาท เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายการบริโภคน้ำมันกลับมามีอัตราเติบโตทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น กองทุนน้ำมันฯ เริ่มชดเชยก๊าซ LPG ตรึงอยู่ที่ 318บาท/ถังขนาด 15 กก. เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ภาคครัวเรือน
ในต้นปี 2565 เกิดสงครามสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเคยพุ่งทะลุระดับ 120 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล กองทุนน้ำมันฯ ต้องชดเชยราคาน้ำมันดีเซลในประเทศให้อยู่ที่ราคา 30 บาท/ลิตร โดยเคยชดเชยสูงสุดถึง 14 บาท/ลิตร กองทุนน้ำมันฯ ในเวลานั้นติดลบราว 130,000 ล้านบาท จำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลแบบขั้นบันไดถึง 35 บาท/ลิตร จึงได้มีการแก้ไขกรอบวงเงินกู้ ตามมาตรา26 วรรคสาม
โดย ครม.มีมติขยายกรอบเป็น 150,000 ล้านบาท และขอให้รัฐบาลอนุมัติออกพระราชกำหนดผ่อนผันให้กระทรวงการคลังค้ำประกันการชำระหนี้ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 เพราะกฎหมายกองทุนน้ำมันฯ มีกรอบวงเงินกู้ยืมได้ไม่เกิน 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงิน ในการปล่อยกู้ให้กับกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงินกู้ 105,333 ล้านบาท ซึ่งกำลังจะถึงกำหนดเวลาทยอยจ่ายคืนเงินต้นในเดือนพฤศจิกายน 2567 นี้
ในช่วงต้นปี 2566 สถานการณ์ราคาน้ำมันเริ่มผ่อนคลาย กองทุนน้ำมันฯ ได้มีการลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงจำนวน 6 ครั้ง เหลือ 32 บาท/ลิตร ในช่วงเดือนพฤษภาคมและในช่วงเวลาที่ลดการชดเชยก็เริ่มมีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จนทำให้สถานะกองทุนน้ำมันฯ ติดลบลดลงเหลือประมาณ 49,000 ล้านบาท ต่อมาเมื่อได้รัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้มีการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล 30 บาท/ลิตร ขณะที่มาตรการลดภาษีสรรพสามิตที่เคยเข้ามาเป็นกลไกช่วยพยุงราคาดีเซลอีกทางหนึ่งได้หมดอายุลง ทำให้กองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกหลักเดียวในการพยุงราคาน้ำมัน
อย่างไรก็ดี มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ได้มีมาตรการการตรึงราคาน้ำมันดีเซล กำหนดเพดานเป็นไม่เกิน 33 บาท/ลิตร ไว้จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องกองทุนน้ำมัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ตรึงไว้ที่ 423 บาท/ถังขนาด 15 กก. ล่าสุด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 ได้ขยายมาตรการตรึงราคาดีเซลไม่เกิน 33 บาท/ลิตร เป็นรอบที่สอง ออกไปอีก 3 เดือน ถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2567
โดยให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ แต่อัตราการชดเชยต้องไม่เกิน 2 บาท/ลิตร โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ติดลบ 111,663 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 64,066 ล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 47,597 ล้านบาท ในส่วนของประมาณการสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุด มีรายรับประมาณวันละ 88.15 ล้านบาท แบ่งเป็นรายรับประเภทน้ำมันวันละ 81.76 ล้านบาท และรายรับก๊าซ LPG วันละ 6.39 ล้าน แต่กองทุนน้ำมันยังมีการชดเชยน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 0.40บาท/ลิตร คิดเป็นรายจ่ายประมาณวันละ 26.73 ล้านบาท
“ผมเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงครั้งแรกช่วงเดือนสิงหาคม 2563 ซึ่งขณะนั้นฐานะกองทุนน้ำมันฯ ยังเป็นบวกอยู่ถึง 3 หมื่นล้านบาท แต่ด้วยวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาส่วนใหญ่มาจากปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมคือราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกที่ผันผวนก่อนสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด หลังจากมีวัคซีนโรคโควิดเริ่มผ่อนคลายลง เศรษฐกิจถูกกระตุ้นอัตราการเติบโตทำให้ราคาน้ำมันเริ่มเข้าสู่ขาขึ้นเรื่อยมา
จนกระทั่งโลกต้องพบกับวิกฤตที่สั่นคลอนราคาน้ำมันครั้งใหญ่จากการสู้รบรัสเซีย-ยูเครน ในปี 2565 ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเกินระดับ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล กองทุนน้ำมันถูกใช้เป็นกลไกหลักในการพยุงราคาดีเซลในประเทศไว้ไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ควบคู่กับมาตรการลดภาษีสรรพสามิตในบางช่วง และแม้ว่าในปี 2566 สถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย แต่ก็ยังมีความผันผวนด้านราคา
จากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางและเศรษฐกิจที่ยังซบเซา ส่งผลให้สถานะของกองทุนน้ำมันฯ ยังคงต้องแบกรับการอุดหนุนราคาดีเซลอยู่ต่อไปจนทำให้เริ่มเกิดวิกฤตอีกรอบในปี 2567 กองทุนน้ำมันฯ ติดลบเกินกว่า 1 แสนล้านบาทอีกรอบ และครั้งนี้ถือเป็นวิกฤตสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ เองซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ที่วิกฤตมาจากปัจจัยภายนอก
ผมกำลังจะหมดวาระผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลง ก็คงต้องให้เจ้าหน้าที่และผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงคนต่อไปเร่งฟื้นฟูสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ให้กระเตื้องขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ค้าน้ำมัน ตลอดจนสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้
ท้ายนี้ ผมขอขอบคุณคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ผู้บริหารกระทรวงพลังงาน เจ้าหน้าที่สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และพี่ๆ สื่อมวลชนทุกท่านที่ให้การสนับสนุนและความร่วมมือที่ดีมาโดยตลอด”ผู้อำนวยการ สนกช.กล่าวในท้ายที่สุด