- Details
- Category: น้ำมัน-แก๊ส
- Published: Sunday, 07 March 2021 23:08
- Hits: 14459
ฟิทช์ เรทติ้งส์: การฟื้นตัวของธุรกิจปิโตรเคมีช่วยสนับสนุนผลประกอบการบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขั้นปลายของไทย
ฟิทช์ เรทติ้งส์ - กรุงเทพฯ - 1 มีนาคม 2564: ฟิทช์กล่าวว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีน่าจะยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2564 และช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของกำไรของบริษัทที่ประกอบธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีของไทย อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวน่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีความท้าย เนื่องจากภาวะอุปสงค์ที่สูงกว่าอุปทานในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีซึ่งมีมาอย่างต่อเนื่อง และความต้องการสินค้าปลายทางบางประเภทที่อาจจะเติบโตช้า
บริษัทที่ประกอบธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีของไทยที่ฟิทช์ได้มีการจัดอันดับเครดิต มีกำไรที่เติบโตอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งมีแรกของปี 2563 ถึงแม้ว่าระดับการฟื้นตัวของแต่ละบริษัทจะมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจปิโตรเคมีเมื่อเทียบกับธุรกิจทั้งหมดของบริษัทนั้นๆ บริษัทที่มีธุรกิจปิโตรเคมีขนาดใหญ่ เช่น บริษัท พีทีที โกลบอล เคมีคอล จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตภายในประเทศ AA+(tha) แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) หรือ PTTGC
และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตภายในประเทศ A-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) หรือ IRPC ได้รับประโยชน์มากกว่า จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับค่าการกลั่นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบริษัทที่มีธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ เช่น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตภายในประเทศ AA-(tha) แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) หรือ TOP และ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน (ตั๋วแลกเงิน: F2(tha)) หรือ ESSO
กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ PTTGC มีการเติบโตอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 มาอยู่ที่ระดับ 1.6 หมื่นล้านบาท จาก 522 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 ในขณะที่ EBITDA ของ IRPC เพิ่มขึ้นเป็น 9.7 พันล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 จากติดลบ 6 พันล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 อย่างไรก็ตาม EBITDA ทั้งปีของทั้งสองบริษัทปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดลงร้อยละ 42 สำหรับ PTTGC และร้อยละ 37 สำหรับ IRPC ในปี 2563 แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับ TOP และ ESSO ที่มี EBITDA เป็นลบ
ฟิทช์ คาดว่าการฟื้นตัวของธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 มีแนวโน้มที่จะต่อเนื่องในปี 2564 หลังจากมีการฉีดวัคซีน และกิจกรรมภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจมีการฟื้นตัว ความต้องการของผลิตภัณฑ์ปลายทางน่าจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจปิโตรเคมีในปี 2564 ความต้องการของผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสุขอนามัย น่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งในปี 2564 แต่อาจมีการเติบโตที่ช้าลง หลังจากที่ความต้องการผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการเติบโตอย่างมากในปี 2563
ในขณะที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ขวดพลาสติก Polyethylene Terephthalate (PET) น่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากที่ความต้องการปรับตัวลดลงอย่างมากในปี 2563 จากการทำงานที่บ้านมากขึ้น และการยกเลิกการจัดงานต่างๆ ในขณะที่การฟื้นตัวของธุรกิจยานยนต์และธุรกิจก่อสร้าง น่าจะส่งผลดีต่อผู้ผลิต Polypropylene (PP) ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตปิโตรเคมีขนาดใหญ่ที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2564 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน น่าจะเพิ่มแรงกดดันต่อภาวะอุปสงค์ที่สูงกว่าอุปทานที่มีอยู่ในปัจจุบัน และกดดันส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแบบพื้นฐาน (Commodity grade) ดังนั้น ฟิทช์ คาดว่า การฟื้นตัวของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบในปี 2564 จะมีความผันผวน และน่าจะยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวในอดีต บริษัทที่ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีของไทยน่าจะยังคงมุ่งเน้นในการเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง
และการกระจายธุรกิจไปยังธุรกิจเคมีขั้นสูง (Specialty chemical) มากขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์และธุรกิจดังกล่าวมีเสถียรภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแบบพื้นฐานในช่วงที่อุตสาหกรรมอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากความต้องการของผลิตภัณฑ์ปลายทางมีความผันผวนที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตามรายได้จากผลิตภัณฑ์เคมีที่มีมูลค่าสูงดังกล่าวน่าจะยังคงมีสัดส่วนในระดับต่ำ อย่างน้อยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ฟิทช์ คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทที่ประกอบธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีของไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2564 เนื่องจากกำไรที่สูงขึ้น แต่น่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปี 2562 PTTGC และ IRPC น่าจะมีกระแสเงินสดก่อนการจ่ายเงินปันผลเป็นบวกในช่วงปี 2564 - 2565 เนื่องจากฟิทช์คาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานน่าจะเพียงพอสำหรับเงินลงทุนที่อยู่ในระดับไม่สูงมากนัก
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินของ TOP น่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงปี 2564 และ 2565 เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการ Clean-Fuel Project หรือ CFP ที่มีการลงทุนสูง ก่อนที่จะปรับตัวลดลงในปี 2566 และ 2567 หลังจากโครงการ CFP เริ่มดำเนินงานเต็มที่ และบริษัทได้รับเงินจากการขาย Energy Recovery Unit ซึ่งเป็นหน่วยผลิตไฟฟ้าของโครงการ CFP ในปี 2566
ติดต่อ
โอบบุญ ถิรจิต
Director
+66 2 108 0159
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ชั้น 17, อาคารปาร์คเวนเชอร์, เลขที่ 57 ถนนวิทยุ, แขวงลุมพินี, เขตปทุมวัน
กรุงเทพฯ 10330
Secondary Analyst
เลิศชัย กอเจริญรัตนกุล
Senior Director
+662 108 0158
ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้ที่ www.fitchratings.com
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ