- Details
- Category: พลังงาน
- Published: Thursday, 23 November 2017 23:42
- Hits: 4310
ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการหยุดดำเนินการของท่อขนส่งน้ำมันในสหรัฐฯ และสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ปรับลดลง
+ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังท่อขนส่งน้ำมันดิบ Keystone ซึ่งเป็นท่อที่ขนส่งน้ำมันดิบจากประเทศแคนาดามายังประเทศสหรัฐฯ ปิดซ่อมบำรุงตั้งแต่สัปดาห์ก่อนหน้าจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหล 5,000 บาร์เรล ในรัฐ South Dakota ของสหรัฐฯ ส่งผลให้กำลังการขนส่งน้ำมันดิบในเดือน พ.ย. ปรับตัวลดลงประมาณร้อยละ 85 ซึ่งท่อขนส่งน้ำมันแห่งนี้มีกำลังการขนส่งน้ำมันดิบ 590,000 บาร์เรลต่อวัน
+ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 58 หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สิ้นสุด ณ วันที่ 17 พ.ย. ปรับตัวลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล ในขณะเดียวกันปริมาณน้ำมันดิบ ณ จุดส่งมอบคุชชิ่ง โอกลาโฮมาปรับตัวลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล หลังท่อขนส่งน้ำมันดิบ Keystone หยุดดำเนินการ
- อย่างไรก็ตาม ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังล่าสุดบริษัท Baker Hughes รายงานปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบของสหรัฐฯ สิ้นสุด ณ วันที่ 22 พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 9 แท่น ไปอยู่ที่ระดับ 747 แท่น
- ตลาดคาดการณ์สหรัฐฯ อาจเพิ่มการส่งออกน้ำมันดิบภายในช่วงเวลาใกล้ๆนี้ เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันดิบเบรนท์และเวสต์เท็กซัสที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปสงค์จากอินโดนีเซียและภูมิภาคเอเชียยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันเบนซินยังได้รับแรงกดดันจากอุปทานภายในภูมิภาคที่ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเล็กน้อย โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์เพิ่มเติมจากศรีลังกา ประกอบกับการส่งออกน้ำมันดีเซลที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากประเทศจีนหลังโรงกลั่นภายในประเทศมีแผนปิดซ่อมบำรุงในเดือน ธ.ค.
ไทยออยล์ คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสเคลื่อนไหวในกรอบ 54-59 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 60-65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ปัจจัยที่น่าจับตามอง
การขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกมีความเป็นไปได้มากขึ้น หลังยังไม่มีประเทศใดคัดค้านข้อตกลงนี้ นอกจากนี้เลขาธิการกลุ่มโอเปก เผยว่า โอเปกกำลังหาทางบรรลุข้อตกลงในการขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตให้ได้ก่อนการประชุมในวันที่ 30 พ.ย. เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว
สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าอุปทานน้ำมันดิบจะตึงตัวมากขึ้น จากเหตุการณ์การกวาดล้างคอรัปชั่นภายใต้การนาของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎหราชกุมารของซาอุดิอาระเบีย เหตุการณ์ดังกล่าวนับปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อความกังวลของนักลงทุนต่อเสถียรภาพทางการเมืองในซาอุฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง
ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการปรับขึ้นหลักๆ มาจากการผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเหนือระดับ 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยล่าสุดสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) คาดการณ์กำลังการผลิตน้ำมันดิบจาก Shale oil ในเดือน ธ.ค. มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน โดยคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นราว 80,000 บาร์เรลต่อวัน แตะระดับ 6.17 ล้านบาร์เรลต่อวัน