WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

OIL50ไทยออยล์ คาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมัน 11-15 ก.ย. 60 และสรุปสถานการณ์ฯ 4-8 ก.ย. 60

     

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (11 – 15 ก.ย. 60)

 ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้คาดจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย จากผลกระทบของพายุ Irma และ Jose ที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่ชายฝั่งสหรัฐฯ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของลิเบียที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น หลังแหล่งผลิตน้ำมันดิบ El Sharara สามารถกลับมาดำเนินการอีกครั้ง ขณะที่ ปริมาณน้ำมันดิบของสหรัฐฯมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรับตัวลดลง เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันในพื้นที่ชายฝั่งของอ่าวเม็กซิโกกลับมาดำเนินการอีกครั้ง

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:

 จับตาการเคลื่อนตัวของพายุลูกใหม่ที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่ชายฝั่งสหรัฐฯ โดยล่าสุดพายุเฮอร์ริเคน Irma ซึ่งได้พัฒนาความรุนแรงสู่ระดับ 5 และคาดว่าจะเป็นพายุ 1 ใน 5 ที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบ 80 ปี ได้เคลื่อนผ่านหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน และกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่รัฐฟลอลิด้าในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ได้มีการคาดการณ์ว่าพายุลูกนี้มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนขึ้นไปทางตอนเหนือของรัฐฟลอลิด้า และมีความเป็นไปได้ที่จะไม่กระทบต่อการผลิตน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโก นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการเคลื่อนตัวของพายุ Jose ที่คาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งสหรัฐฯ เร็วๆนี้

  ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของลิเบียมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งสู่ระดับมากกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากลิเบียสามารถเปิดดำเนินการแหล่งผลิตน้ำมันดิบ El Sharara ซึ่งมีกำลังการผลิตประมาณ 280,000 บาร์เรลต่อวันได้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังการซ่อมแซมท่อขนส่งน้ำมันที่เชื่อมต่อระหว่างแหล่งผลิตกับท่าเรือ Zawiya แล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม ลิเบียยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในประเทศที่ดำเนินการปิดท่อขนส่งน้ำมันดิบ ส่งผลกระทบต่อโอกาสที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไปสู่ระดับเป้าหมายที่ 1.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน

  ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นๆ มาจากการผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) และล่าสุดสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) คาดการณ์ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ Shale Oil ในเดือนก.ย. 60 ปรับเพิ่มขึ้นราว 117,000 บาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ระดับ 6.159 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยการปรับเพิ่มขึ้นหลักๆมาจากแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Permian ซึ่งเป็นแหล่งที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าแหล่งผลิตอื่น นอกจากนี้ ยังต้องจับตารายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในอนาคต

  ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ คาดจะปรับลดลงในสัปดาห์นี้ หลังโรงกลั่นน้ำมันในพื้นที่ชายฝั่งของอ่าวเม็กซิโกสามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้แล้วประมาณร้อยละ 4 ของกำลังการผลิตทั้งหมด หลังในสัปดาห์ก่อนหน้ามีการปิดดำเนินการไปทั้งสิ้นกว่า 4.2 ล้านบาร์เรลต่อวันหรือคิดเป็นกว่าร้อยละ 24 ของกำลังการผลิต โดยในสัปดาห์ล่าสุด EIA รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 1 ก.ย. 60 ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 4.6 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 462.4 ล้านบาร์เรล นับเป็นการปรับเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 9 สัปดาห์ โดยสูงกว่าตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 4 ล้านบาร์เรล

  ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกจีน ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ดัชนีราคาผู้ผลิตสหรัฐฯ ดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมยูโรโซน

 

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (4 – 8 ก.ย. 60)

  ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 0.19 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 47.48 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 1.03 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 53.78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากโรงกลั่นในสหรัฐฯ เริ่มกลับมาดำเนินการอีกครั้งหลังได้รับผลกระทบจากพายุ Harvey ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยก่อนหน้านี้โรงกลั่นสหรัฐฯในพื้นที่ชายฝั่งของอ่าวเม็กซิโกหยุดการผลิตถึง 3.8 ล้านบาร์เรลต่อวันหรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของกำลังการผลิตทั้งหมดของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากผลกระทบของพายุ Harvey ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้รับแรงกดดันจากการเคลื่อนตัวของพายุลูกใหม่อย่าง Irma Jose และ Katia ที่อาจกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!