- Details
- Category: พลังงาน
- Published: Saturday, 15 April 2017 15:25
- Hits: 8666
กอสส. ลงพื้นที่เก็บข้อมูลเบื้องต้นพร้อมรับฟังความคิดเห็น กรณีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเทพา จ.สงขลา
กอสส. ลงพื้นที่เก็บข้อมูลเบื้องต้นพร้อมรับฟังความคิดเห็น กรณีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเทพา จ.สงขลา โดยตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระบุ การตัดสินใจของรัฐในการนำโครงการขนาดใหญ่ลงในพื้นที่ได้ทำลายกระบวนการเจรจาสันติภาพ ความไว้วางใจ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ ด้านพลังงานจังหวัดสงขลา ระบุ กำลังการผลิตไฟฟ้าโรงไฟฟ้าจะนะ เพียงพอต่อความจำเป็นการใช้งานในพื้นที่ภาคใต้
คณะกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ กอสส. นำโดย ว่าที่ร้อยตรีสุรพล ดวงแข รองประธาน กอสส. พร้อมด้วย ดร.ถนอมศักดิ์ บุญภักดี ดร.ธนวรรธน์ อิ่มสมบูรณ์ และนายสวัสดิ์ สมัครพงศ์ กรรมการ กอสส. ลงพื้นที่เก็บข้อมูลเบื้องต้นและรับฟังความคิดเห็นกับตัวแทนภาคประชาชนในพื้นที่ ต.ปากบาง อ.เทพา จังหวัดสงขลา ต่อกรณีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา อ.เทพา จ.สงขลา ซึ่งหากรอให้โครงการเหล่านี้จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) เสร็จสิ้นเสียก่อน อาจเป็นการล่าช้าเกินไปต่อการรวบรวมข้อมูลจำนวนมากให้ครบถ้วนภายในกรอบเวลา 60 วัน อาจไม่เพียงพอและอาจเป็นที่กังขาต่อสาธารณะว่าเป็นรายงาน EHIA ที่ไม่ครอบคลุมทุกมิติ ดังนั้น จำเป็นต้องมีการรับฟังความคิดเห็นให้รอบด้าน ตลอดจนเป็นการสนับสนุนสิทธิชุมชนของคนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงข้อมูลได้อย่างกว้างขวาง
นายดิเรก เหมนคร ผู้ประสานเครือข่ายประชาชนชายแดนภาคใต้ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพใต้ (Permatamas) และเครือข่ายภาคประชาชน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยืนยันว่าทางเครือข่ายเชื่อมั่นในกระบวนการขององค์กรต่างๆที่ลงมาในพื้นที่ หากทุกคนร่วมมือกันในการดำเนินโครงการอย่างสันติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ ผู้ประสานเครือข่ายฯ ระบุว่า โครงการที่รัฐจะสร้างขึ้นไม่ได้หมายความว่า สร้างได้หรือไม่ได้ แต่ทางเครือข่ายอยากให้มีการพูดคุยกันอย่างจริงใจ และนำข้อมูลที่ได้ไปประกอบการตัดสินใจเหมือนกับการเจรจาสันติภาพที่ผ่านมา แต่ปัญหาขณะนี้คือ รัฐตัดสินใจเอาโครงการขนาดใหญ่นี้ เช่น โรงไฟฟ้า และท่าเรือน้ำลึก ลงมาดำเนินการท่ามกลางความสงสัยและความกังวลของประชาชนใน 5 จังหวัดภาคใต้ ได้ทำลายกระบวนการเจรจาสันติภาพ ทำลายความไว้วางใจ เกิดปัญหาความแตกแยกของคนในชุมชน วัฒนธรรม
และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ เนื่องจากที่ผ่านมามีความก้าวหน้าในการหาทางออกเรื่องความขัดแย้งมาด้วยดีตามลำดับ แต่เมื่อมีการนำกระบวนการรับฟังความคิดเห็นผู้มีส่วนได้เสียเรื่องโรงไฟฟ้าดังกล่าว กลับทำให้บรรยากาศที่เริ่มตกลงกันได้หลายประเด็นหดหายไป และยังทำให้บรรยากาศความไว้วางใจหมดไป นำมาซึ่งกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่ขาดการรับฟังข้อเท็จจริงจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจริงๆ อีกทั้งมองว่า การที่รัฐนำเรื่องโรงไฟฟ้าเข้ามาจะเป็นการแสดงถึงความสำเร็จเรื่องความไม่สงบในพื้นที่ว่าไม่มีปัญหาดังกล่าวจึงนำโครงการนี้เข้ามาในพื้นที่ได้ ซึ่งที่ผ่านมา ในการสร้างโรงไฟฟ้าจะนะก็ได้สร้างความบอบช้ำให้กับคนในพื้นที่เป็นอย่างมาก ดังนั้น รัฐไม่ควรนำโครงการนี้เข้ามาซ้ำเติมคนในพื้นที่อีก ขณะที่ประเด็นที่ตั้งของโครงการโรงไฟฟ้าดังกล่าว เป็นการพื้นที่แหล่งอาหาร ชุมชนดั้งเดิมและศาสนสถาน เพราะเมื่อโครงการเกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ และความรู้สึกของคนในพื้นที่เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ ผู้ประสานเครือข่ายฯ เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการดำเนินโครงการดังกล่าว เพราะเชื่อมั่นศักยภาพของ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ควรพัฒนาในด้านอื่นๆได้ ทั้งการพัฒนาระบบการศึกษา ส่งเสริมเขตการค้าชายแดน และการท่องเที่ยว ที่สำคัญคือ เสนอให้รัฐสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทดแทน โรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งจะเป็นพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของคนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม
ด้านนายจักริน เดชสถิตย์ ส่วนงานแผนและยุทธศาสตร์ สำนักงานพลังงานจังหวัดสงขลา กล่าวถึง ข้อพิพาทร้องเรียนด้านพลังงานกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพานั้น ทางพลังงานจังหวัดมีบทบาทในการนำเรื่องการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่ กฟผ. แจ้งมายังสำนักงานพลังงานจังหวัดนำเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดทุกขั้นตอน และผู้ว่าราชการจังหวัดจะมอบหมายให้พลังงานจังหวัดติดตามเรื่องและเข้าร่วมงาน
ส่วนเรื่องความมั่นคงของพลังงาน และพลังงานทางเลือกนั้น ปัจจุบันโรงไฟฟ้าจะนะมีกำลังการผลิตประมาณ 1,580 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 97 % ซึ่งมาจากเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติมาจากแหล่งจีดีเอในอ่าวไทยที่เป็นเชื้อเพลิงหลัก ประกอบด้วย 2 ชุด คือชุดที่ 1 ขนาด 800 MW และชุดที่ 2 ขนาด 700 MW และอีก 3 % เป็นพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากชีวมวลในจังหวัดสงขลา แต่เมื่ออีก 17 ปีข้างหน้า ก๊าซธรรมชาติหมดลง ก็จะต้องมีพลังงานแหล่งอื่นมาทดแทน อย่างพลังงานจากถ่านหิน พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น โดยมีสัดส่วนภาคอุตสาหกรรม:ภาคครัวเรือน เท่ากับ 70:30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการใช้พลังงานในภาคใต้
ส่วนที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีแผนสร้างโรงไฟฟ้าเทพา และโรงไฟฟ้ากระบี่รวมกันประมาณ 3,000 MW เพื่อความเสถียรภาพของพลังงานในภาคใต้ แต่เกินความต้องการในภาคใต้ กระไฟฟ้าเหล่านี้จะนำไปสนับสนุนกับภาคตอนบนหรือโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า แต่ไม่ได้สร้างมาเพื่อจะส่งขายไปยังต่างประเทศ
กฟผ.ยันชาวกระบี่-เทพาหนุนโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะเชื่อมั่นเทคโนโลยี และการป้องกันสิ่งแวดล้อมที่ตรวจสอบได้
กฟผ. ชี้แจง กรณีองค์กรพัฒนาเอกชน มีแถลงการณ์ค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และเทพา ยืนยันถ่านหินยังเป็นพลังงานหลักของโลก การที่ชุมชนชาวกระบี่และเทพาต่างออกมาสนับสนุน แสดงถึงความเชื่อมั่นเทคโนโลยี และอยากเห็นการพัฒนาท้องถิ่น
นายสหรัฐ บุญโพธิภักดี รองผู้ว่าการประจำสำนักผู้ว่าการในฐานะโฆษก กฟผ. ชี้แจงว่า ตามที่ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ (กป.อพช.) ออกแถลงการณ์ค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และเทพาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มีข้อความคลาดเคลื่อนหลายประการ เกรงสร้างความสับสนให้กับสังคม จึงขอเรียนชี้แจงดังนี้
ถ่านหินยังเป็นพลังงานหลักของโลก
ประเด็นแรก ที่กล่าวว่า กฟผ. มีความพยายามยัดเยียดถ่านหินให้ประชาชนไทย และภาคใต้ นั้น ขอชี้แจงว่า นโยบายการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า เป็นนโยบายการพัฒนาพลังงานตามแผนพัฒนากำลังผลิตของประเทศทุกฉบับ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดหาพลังงานที่มีความมั่นคง และกระจายความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าเกือบร้อยละ 70 ซึ่งแผนพัฒนาพลังงานกำลังผลิตไฟฟ้าฉบับปัจจุบัน หรือ PDP2015 มีเป้าหมายลดสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติจากร้อยละ 70 เหลือร้อยละ 37 และเพิ่มการใช้ถ่านหินจากร้อยละ 18 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 23 ในปี 2579
ในประเด็นที่กล่าวว่า ทั่วโลกจะเลิกใช้ถ่านหิน นั้น ในความเป็นจริง มีบางประเทศประกาศจะเลิกใช้ถ่านหิน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก แต่ยังต้องการเวลาอีกหลายสิบปีในการเปลี่ยนผ่าน เช่น เยอรมนี ประกาศจะเลิกใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าในปี 2050 หรืออีก 33 ปีข้างหน้า อังกฤษประกาศจะเลิกใช้ถ่านหินในปี 2025 โดยในปีดังกล่าวจะนำพลังงานนิวเคลียร์ที่กำลังก่อสร้างเข้ามาใช้ทดแทน ซึ่งสะท้อนว่า ถ่านหินยังมีความจำเป็นและมีบทบาทสำคัญต่อการผลิตไฟฟ้าของโลก ประเทศต่างๆ ทั่วโลก จึงยังไม่มีแผนเลิกใช้ถ่านหินทั้งสหรัฐอเมริกา จีน ออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมทั้งอาเซียน ทั้ง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม โดยองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency หรือ IEA) ได้คาดการณ์การใช้พลังงานของอาเซียนว่า จะใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าเพิ่มจากร้อยละ 32 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 50 ในปี 2583 สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาพลังงานของโลก ที่ทั่วโลกมีสัดส่วนการใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าร้อยละ 40 โดยประเทศต่างๆ อาทิ สหรัฐอเมริกาใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าร้อยละ 33 เยอรมนีร้อยละ 40 ออสเตรเลียร้อยละ 63 อินเดียร้อยละ 75 จีนร้อยละ 72 เกาหลีใต้ร้อยละ 42 ญี่ปุ่นร้อยละ 32 มาเลเซียร้อยละ 38 เป็นต้น
โรงไฟฟ้าถ่านหินไม่เป็นอุปสรรคในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ในประเด็นการลดก๊าซเรือนกระจก ที่แถลงการณ์กล่าวว่า การประชุมลดก๊าซเรือนกระจก ให้ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลนั้น ในความเป็นจริง ที่ประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 (COP-21) ที่กรุงปารีส ได้รับรองแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศ(INDC) ตามหลักความรับผิดชอบ และสถานการณ์ของประเทศที่แตกต่างกัน โดยประเทศไทยซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงร้อยละ 0.9 ของโลก ได้ให้สัตยาบันจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20 – 25 ในปี 2030 เมื่อเทียบกับไม่มีมาตรการใดๆ
ในการให้สัตยาบันดังกล่าว ยังได้ผนวก PDP2015 ไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ซึ่งนอกจากจะมีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดแล้ว ยังมีมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ประกอบด้วย การเพิ่มการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนจากร้อยละ 8 เป็นร้อยละ 20 ในปี 2579 การปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า และการอนุรักษ์พลังงาน(DSM) จึงกล่าวได้ว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินไม่เป็นอุปสรรคในการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ในการประชุม COP21 แม้ว่าองค์กรเอกชน จะได้เรียกร้องให้โลกเดินหน้าสู่การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียน 100% แต่ที่ประชุมเห็นว่า ยังเป็นไปไม่ได้ จึงไม่มีมติใดๆ โดยจะหยิบยกเรื่อง พลังงานหมุนเวียน 100% มาพูดคุยใหม่อีกครั้งหลังปี 2050 แสดงให้เห็นว่า โลกต้องใช้เวลาอีกมากในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ให้สามารถพึ่งพาได้ และในราคาที่เหมาะสม
ในประเด็นที่แถลงการณ์กล่าวว่า เชื้อเพลิงถ่านหินมีภาวะมลพิษสะสมอันร้ายแรงในระหว่างการเผาไหม้นั้น ขอชี้แจงว่า เทคโนโลยีการเผาไหม้ของถ่านหินมีความทันสมัยและประสิทธิภาพสูง สามารถลดการปล่อยมลสาร ให้อยู่ภายใต้มาตรฐานที่เข้มงวดมากขึ้นในแต่ละประเทศ ทำให้มีโรงไฟฟ้าใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ในประเทศที่มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมสูง เช่น ในสหรัฐอเมริกา เยอรมนี และญี่ปุ่น
สำหรับ โรงไฟฟ้าถ่านหินของ กฟผ. ทั้งโรงไฟฟ้ากระบี่ เทพา และแม่เมาะทดแทน ได้นำเทคโนโลยีการผลิตและกำจัดมลภาวะที่ทันมัยที่สุด ที่มีการใช้แล้วทั่วโลก เช่น หม้อต้มไอน้ำแบบ Ultra-supercritical ที่ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงและคาร์บอนไดออกไซด์ กว่าร้อยละ 20 อุปกรณ์กำจัดมลภาวะ อาทิ เครื่องดักฝุ่นประสิทธิภาพร้อยละ 99 เครื่องกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และออกไซด์ของไนโตรเจน ประสิทธิภาพร้อยละ 97 - 99 เครื่องกำจัดไอปรอท เป็นต้น ซึ่งการลงทุนในอุปกรณ์ด้านสิ่งแวดล้อมดังกล่าว คิดเป็นมูลค่าถึงร้อยละ 30 ของราคาโครงการ
สำหรับ ในประเด็นที่แถลงการณ์กล่าวว่า ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ไม่ยอมรับโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น กฟผ. ตระหนักและให้ความสำคัญในประเด็นดังกล่าว ในการดำเนินงานโครงการ ตั้งแต่การคัดเลือกสถานที่ เทคโนโลยีที่ใช้ มาตรการดูแลผลกระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชน จึงมีความละเอียด รอบคอบ รวมทั้งคำนึงถึงการมีส่วนร่วมและสิทธิของชุมชนในพื้นที่ การดำเนินโครงการจึงได้มีการเผยแพร่ข้อมูล สร้างความรู้ ความเข้าใจ อย่างโปร่งใสต่อเนื่อง รวมทั้งรับฟังเสียงสะท้อนกลับของประชาชนทั้งในขั้นตอนการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) และเวทีแสดงความคิดเห็นต่างๆ มีผลให้เกิดการปรับปรุงการออกแบบโครงการ เช่น การทำอุโมงค์สายพานลำเลียงในช่วงลอดใต้คลองและป่าชายเลนยาว 2 กิโลเมตร การลดขนาดของเรือขนส่งถ่านหิน เพื่อไม่ต้องขุดลอกร่องน้ำ การใช้สายพานลำเลียงและอาคารเก็บถ่านหินระบบปิด เป็นต้น
การดำเนินการดังกล่าวที่ผ่านมา จึงทำให้โครงการฯ ได้รับการสนับสนุนจากชุมชนในพื้นที่ และมีการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น การยื่นรายชื่อผู้สนับสนุนโครงการกระบี่กว่า 20,000 รายชื่อ ผู้แทนชุมชนจังหวัดกระบี่และอำเภอต่าง ๆ ยื่นหนังสือสนับสนุนต่อนายกรัฐมนตรี ตลอดจนการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น การติดป้ายผ้า ในบ้าน และในชุมชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นการสนับสนุนของชุมชนส่วนใหญ่ ที่มีความเชื่อมั่นในมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อม และต้องการให้เกิดการพัฒนาความเจริญในท้องถิ่น การแสดงออกดังกล่าว ยังถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่แสดงถึงความร่วมมือระหว่างชุมชนกับโรงไฟฟ้าในการดูแลสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาท้องถิ่นต่อไปในอนาคต
กฟผ. ในฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ยึดมั่นในภารกิจในการจัดหาพลังงานที่มั่นคง เพื่อเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานของคนไทยทั้งประเทศ โดยไม่ได้มุ่งแสวงหาประโยชน์ เพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในการดำเนินโครงการพัฒนาพลังงาน ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของสังคม และสิทธิของของชุมชน เพื่อให้การพัฒนาพลังงานของประเทศ ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ยินดีรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ความเห็นที่แตกต่าง และพร้อมชี้แจงทุกประเด็นสงสัย เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีร่วมกันต่อไป
อินโฟเควสท์