WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

OIL2ไทยออยล์ คาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมัน 14-18 พ.ย. 59 และสรุปสถานการณ์ฯ 7-11 พ.ย. 59

              

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (14 พ.ย. – 18 พ.ย. 59)

  ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้คาดว่าจะยังคงได้รับแรงกดดันจากกลุ่มโอเปกที่ยังคงไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับประเด็นการปรับลดกำลังการผลิตมาอยู่ที่ระดับ 32.5 – 33.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับการผลิตในเดือน ต.ค. ที่ประมาณ 33.64 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้นักลงทุนกังวลว่าอุปทานส่วนเกินจะล้นตลาดต่อเนื่องในปี 2560 นอกจากนั้น ราคายังคงได้รับแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น หลังนักลงทุนคลายกังวลและธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. ประกอบกับ ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง จากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามปริมาณการขุดเจาะน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มใกล้ระดับ 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:

  ตลาดยังกังวลเกี่ยวกับข้อตกลงของกลุ่มโอเปกที่จะปรับลดกำลังการผลิตมาอยู่ที่ระดับ 32.5 – 33.0 ล้านบาร์เรล ว่าจะสามารถตกลงกันได้หรือไม่ หลังยังคงไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับรายละเอียดของมาตรการในการลดกำลังการผลิต ประกอบกับ อุปทานจากลิเบียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศคลี่คลายลง นอกจากนี้ อิรักยังคงออกมาเรียกร้องขอรับการยกเว้นในการปรับลดการผลิตเช่นเดียวกับ ลิเบีย ไนจีเรีย และอิหร่านด้วยเช่นกัน เนื่องจากอิรักต้องการรายได้สำหรับการต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายของรัฐอิสลาม (ไอเอส) โดยจากการคาดการณ์ล่าสุดของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ในรายงานเดือน พ.ย. กล่าวว่าหากกลุ่มโอเปกไม่สามารถตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตลงได้ จะส่งผลให้อุปทานน้ำมันดิบส่วนเกินจะยังคงล้นตลาดต่อเนื่องในปี 2560 และจะยังคงส่งผลกดดันต่อการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ

  ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นและส่งผลกดดันต่อราคาน้ำมันดิบต่อเนื่อง หลังนักลงทุนคลายกังวลกับประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนใหม่ หรือนาย โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ที่มีนโยบายในเชิงสุดโต่ง เช่น การทบทวนนโยบายการค้า และข้อตกลงการค้าเสรี เป็นต้น ประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งถัดไปในเดือน ธ.ค. จากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและตลาดแรงงานที่มีการเติบโตในระดับสูง

  ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง หลังปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ เริ่มปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับ ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยสัปดาห์ล่าสุด ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 4 พ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล เนื่องจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 0.17 ล้านบาร์เรลต่อวันจากสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 8.69 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ดี ปริมาณน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลคงคลังสหรัฐฯ ปรับลดลง 2.8 และ 1.9 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

  ปริมาณการขุดเจาะน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังราคาน้ำมันดิบทรงตัวอยู่ในระดับ 45 – 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ บาร์เรล ส่งผลให้ผู้ผลิตมีการเพิ่มปริมาณการขุดเจาะน้ำมันดิบขึ้นต่อเนื่อง จากข้อมูลล่าสุด ปริมาณการขุดเจาะน้ำมันดิบสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุด วันที่ 11 พ.ย. ปรับเพิ่ม 2 แท่นมาอยู่ที่ระดับ 452 แท่น ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 59 โดยกว่าสองในสามของจำนวนแท่นขุดเจาะทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นมาจากแหล่งผลิต Permian เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตที่มีต้นทุนค่อนข้างต่ำ ซึ่งปัจจุบันปริมาณแท่นขุดเจาะของแหล่งผลิต Permian ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 218 แท่น ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ พ.ย. 58

  จับตาการผลิตน้ำมันดิบของไนจีเรีย หลังสถานการณ์ความไม่สงบประทุขึ้นอีกครั้ง หลังกลุ่มผู้ประท้วงได้ออกมาเรียกร้องส่วนแบ่งรายได้การผลิตน้ำมันดิบจากบริษัทน้ำมันต่างชาติ โดยล่าสุดการประท้วงได้ดำเนินมาต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 และล่าสุดกลุ่มผู้ประท้วงได้ทำการปิดระบบสาธารณูปโภคและขัดขวางการผลิตน้ำมันดิบ นอกจากนี้ กลุ่ม Niger Delta Avengers ได้ออกมายืนยันว่ามีการโจมตีท่อขนส่งน้ำมันดิบ Forcados ซึ่งมีกำลังการผลิตประมาณ 200,000 บาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ต้องหยุดการผลิตทันที

  ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกยูโรโซน ปริมาณการส่งออกจีน ดัชนีราคาผู้ผลิตและผู้บริโภคจีน การลงทุนทางตรงจีน

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (7 – 11 พ.ย. 59)

  ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 0.66 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปิดที่ 43.41 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลดลง 0.83 เหรียญสหรัฐฯ ปิดที่ 44.75 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 43 เหรียญสหรัฐฯ หลังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตกลุ่มโอเปก เนื่องจากซาอุดิอาระเบียเผยว่าจะเพิ่มกำลังการผลิต และจะถอนตัวออกจากการประชุมในวันที่ 30 พ.ย. หากอิหร่านไม่ให้ความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิต นอกจากนี้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบยังเผชิญกับความผันผวนจากความไม่แน่นอนกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!