- Details
- Category: พลังงาน
- Published: Monday, 16 May 2016 23:00
- Hits: 4884
ไทยออยล์ คาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ราคานำมัน 16-20 พ.ค. 59 และสรุปสถานการณ์ฯ 9-13 พค. 59
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (16 - 20 พ.ค. 59)
ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้คาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากอุปทานน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น หลังจากบริษัทน้ำมันในแคนาดาทยอยกลับมาดำเนินการผลิตน้ำมันได้เกือบทันทีภายหลังจากที่ไฟป่าในรัฐอัลเบอร์ตาคลี่คลายลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากอุปทานส่วนเกินจากอิหร่านที่เข้ามาสู่ตลาดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยอิหร่านยังคงเดินหน้าตามแผนการทวงส่วนแบ่งการตลาดกลับคืนมา อย่างไรก็ดี ตลาดอาจจะเคลื่อนไหวในแดนบวกต่อไปได้ หากเหตุการณ์โจมตีแหล่งผลิตน้ำมันดิบและท่อขนส่งน้ำมันดิบสำคัญในประเทศไนจีเรียยังไม่คลี่คลาย รวมถึงปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่อาจปรับลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ หลังจากจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ปรับลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี
ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:
สถานการณ์ไฟป่าในรัฐอัลเบอร์ตา ทางตอนใต้ของแคนาดา ซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบที่สำคัญ ได้คลี่คลายลง โดยบริษัทน้ำมันในพื้นที่ทยอยกลับมาดำเนินการผลิตน้ำมันได้เกือบทันทีภายหลังจากที่ไฟป่าทุเลาลง เนื่องจากแหล่งทรายน้ำมัน (oil sand) ทางตอนเหนือของเมือง ฟอร์ต แมคเมอร์เรย์ ไม่ได้รับความเสียหายจากไฟป่าครั้งนี้ โดยก่อนหน้านี้ ในช่วงต้นเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ไฟป่าได้สร้างความเสียหายแก่พื้นที่บางส่วนของเมืองฟอร์ต แมคเมอร์เรย์ ส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของแคนาดาในรัฐอัลเบอร์ตาต้องชะงักไปชั่วคราวกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ กว่า 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตของประเทศ
อิหร่านยังคงเดินหน้าตามแผนทวงคืนส่วนแบ่งการตลาด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้รับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากชาติมหาอำนาจในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา โดยล่าสุดอิหร่านประกาศปรับลดราคาขายน้ำมันอย่างเป็นทางการ (OSP) สำหรับราคาน้ำมันดิบชนิดหนักให้แก่ลูกค้าในภูมิภาคเอเชีย เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากซาอุดิอาระเบียและอิรัก โดยส่วนต่างของราคา OSP ของอิหร่านเมื่อเทียบกับราคา OSP ของอิรักและ OSP ของซาอุดิอาระเบีย (Discount) ปรับลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2550
จับตาสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศไนจีเรีย หลังเกิดเหตุการณ์โจมตีแหล่งผลิตน้ำมันดิบและท่อขนส่งน้ำมันดิบสำคัญในประเทศ ส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในเดือน พ.ค. ปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 22 ปีที่ระดับ 1.69 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ บริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ ต้องอพยพคนงานออกจากแหล่งผลิตน้ำมัน Bonga ที่มีกำลังการผลิต 9 หมื่นบาร์เรลต่อวัน หลังจากถูกโจมตี ประกอบกับเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทางบริษัท เชฟรอน ต้องหยุดการผลิตน้ำมันในแหล่ง Okan ซึ่งมีกำลังการผลิต 3.5 หมื่นบาร์เรลต่อวันไปก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่าสาเหตุของความไม่สงบในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ทางภาคใต้ของไนจีเรีย เป็นผลพวงมาจากความไม่พอใจของคนในพื้นที่ต่อการจัดสรรรายได้จากการส่งออกน้ำมันที่ไม่ยุติธรรม ทั้งที่เงินรายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบกว่า 70% ของไนจีเรียมาจากน้ำมันดิบในพื้นที่
ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ (ณ วันที่ 6 พ.ค.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องกว่า 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 8.80 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากผู้ผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ชะลอการลงทุนและผลิตน้ำมันดิบลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าจุดคุ้มทุนในการผลิตใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ของ Baker Hughes ที่จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบ (สิ้นสุดวันที่ 29 เม.ย.) ปรับลดลงต่อเนื่องอีก 4 แท่นมา สู่ระดับ 327 แท่น ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 52
ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจจีน จำนวนที่อยู่อาศัยที่กำลังก่อสร้าง และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสหรัฐฯ และดัชนีราคาผู้บริโภคยูโรโซน
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (9 - 13 พ.ค. 59)
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปิดที่ 46.21 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.47 เหรียญสหรัฐฯ ปิดที่ 47.84 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 45 เหรียญสหรัฐฯ โดยตลาดได้รับแรงหนุนจากเหตุการณ์ไฟป่าในประเทศแคนาดา ที่ทวีความรุนแรงและขยายวงกว้างจนส่งผลกระทบให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบของประเทศต้องหยุดชะงักชั่วคราวไปราว 1 ล้านบาร์เรล ประกอบกับอุปทานน้ำมันดิบที่ลดลงจากการโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันดิบในประเทศไนจีเรีย ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการผลิตลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 22 ปี