WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

OIL38ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสร่วงลงต่ำกว่า 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯพุ่งเกินคาด

  -  ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ได้เปิดเผยรายงานประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 17 ก.ค. ว่าตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรล ไปอยู่ที่ระดับ 463.89 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงมากถึง 2.3 ล้านบาร์เรล โดยตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่สูงขึ้นมากนี้เป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของตัวเลขการนำเข้าน้ำมันดิบ ไปอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน  โดยมีการนำเข้าจากตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากซาอุดิอาระเบียที่นำเข้าเพิ่มขึ้นเป็น 1.44 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 1.32 ล้านบาร์เรลต่อวัน  นอกจากนี้ ปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง ณ จุดส่งมอบคุชชิ่ง โอกลาโฮมา ยังปรับเพิ่มขึ้น 813,000 บาร์เรลอีกด้วย

  - นอกจากนี้ กลุ่มโอเปก ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าราคาน้ำมันดิบที่ลดลงในช่วงนี้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาระยะสั้นเท่านั้น มองว่าอุปสงค์จะฟื้นตัวในอีกไม่ช้าและจะปรับตัวดีกว่าในครึ่งปีแรก โดยยืนยันว่าราคาที่ลดลงช่วงนี้จะไม่กระทบต่อการผลิตและการส่งออกน้ำมันดิบจากกลุ่มโอเปกอย่างแน่นอน ซึ่งกลุ่มโอเปกไม่มีแผนการที่จะปรับลดกำลังการผลิต และยืนกรานที่จะรักษาส่วนแบ่งการตลาดต่อไป และได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่าจะไม่มีการนัดประชุมเพิ่มเติมจนกว่าจะถึงการประชุมอีกครั้งในวันที่ 4 ธ.ค.

  - ยิ่งไปกว่านั้น ราคาน้ำมันดิบยังถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินในตะกร้าหลัก เนื่องจากยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ ในเดือน มิ.ย.พุ่งขึ้น 3.2% สู่ระดับ 5.49 ล้านยูนิต ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 ปีครึ่ง ซึ่งค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้มีแรงซื้อในตลาดน้ำมันดิบลดลง เนื่องจากนักลงทุนเล็งเห็นว่าราคาน้ำมันดิบดูแพงขึ้นหากนักลงทุนใช้เงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐฯ ในการลงทุน

  - ทางด้านตลาดหุ้นมีแนวโน้มย่ำแย่ หลังดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงต่อเนื่อง ปิดที่ 17,851.04 จุด ลดลง 68.25 จุด โดยตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทใหญ่ระดับโลกอย่างแอปเปิล อิงค์ หลังพบว่ารายได้ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาด

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับลดลงสวนทางราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปสงค์ในภูมิภาคเอเชียอ่อนตัวลง ประกอบกับราคาน้ำมันเบนซินในฝั่งสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ตลาดยังมีความกังวลว่าอุปทานในเดือน ส.ค. จะปรับตัวสูงขึ้น หลังแรงซื้อน้ำมันเบนซินลดลง

  ราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากมีอุปสงค์จากเวียดนามและอินโดนีเซียในเดือน ส.ค. ที่มาช่วยสนับสนุนตลาด อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดีเซลไม่ได้ปรับตัวสูงมากนักเนื่องจากอุปทานในภูมิภาคยังค่อนข้างอยู่ในระดับสูง

 

ทิศทางราคาน้ำมันดิบ

  ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 48-53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 55-60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ปัจจัยที่น่าจับตามอง

  อิหร่านและกลุ่มชาติมหาอำนาจทั้งหก (P5+1) สามารถบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์หลังจากยืดเยื้อมานานกว่า 13 ปี ได้สำเร็จ ส่งผลให้ตลาดมีความกังวลต่อการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านที่มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นและอาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อสภาวะอุปทานน้ำมันดิบล้นตลาด ทั้งนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าอิหร่านจะเพิ่มอัตราการผลิตมากขึ้นราว 3 - 7 แสนบาร์เรลต่อวัน ภายในปี 2559 นอกเหนือจากน้ำมันดิบที่ถูกเก็บไว้ในเรือบรรทุกน้ำมัน (Floating storage) ของอิหร่านอีกราว 40 ล้านบาร์เรล

  จับตาการแก้ไขปัญหาวิกฤติหนี้ของกรีซ โดยล่าสุดรัฐสภากรีซได้มีมติอนุมัติร่างกฎหมายปฏิรูปเศรษฐกิจฉบับใหม่ ทั้งนี้ ร่างกฎหมายปฏิรูปเศรษฐกิจฉบับใหม่นี้จะทำให้กรีซได้รับความช่วยเหลือทางการเงินรอบที่ 3 ประมาณ 8.6 หมื่นล้านยูโรจากกลุ่มประเทศยูโรโซน ซึ่งจะช่วยให้กรีซรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้และไม่ต้องออกจากการเป็นสมาชิกยูโรโซน

  จับตาธนาคารกลางของสหรัฐฯ (FED) ว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในสิ้นปีนี้หรือไม่ หลังล่าสุด ประธาน FED กล่าวชัดว่า FED มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราร้อยละ 1.8 – 2.0 ต่อปี  ทั้งนี้ หาก FED ตัดสินใจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกดดันราคาน้ำมันดิบให้ปรับตัวลดลงได้

  ติดตามทิศทางเศรษฐกิจของจีน หลังมูลค่าในตลาดหุ้นจีนหดตัวลงมากกว่าร้อยละ 30 นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ประกอบกับเศรษฐกิจที่ขยายตัวในอัตราที่ช้าลง  โดย GDP ในไตรมาสสองของปีนี้ขยายตัวเท่ากับอัตราร้อยละ 7 เท่านั้น ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 6 ปีและถือเป็นอัตราการขยายตัวที่อ่อนแอที่สุดของจีนนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2552

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!