- Details
- Category: พลังงาน
- Published: Saturday, 03 May 2014 22:21
- Hits: 3894
กฟผ.-กฟภ.เตรียมแผนรับมือแหล่ง JDA หยุดซ่อมใหญ่ ป้องกันเหตุไฟดับภาคใต้ซ้ำรอย-เอกชนร่วมลดใช้ไฟช่วงพีค
นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ.ได้เชิญการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) เข้าชี้แจงถึงสถานการณ์ของระบบไฟฟ้าในช่วงแหล่ง JDA-A18 จะปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ โดยจะหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติระหว่างวันที่ 13 มิ.ย.-10 ก.ค.นี้ รวม 28 วัน โดย กฟผ.รายงานว่า การหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง JDA-A18 จะส่งผลให้กำลังผลิตไฟฟ้ารวมของภาคใต้อยู่ที่ 2,306 เมกกะวัตต์ จากการประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว ค่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2,400 เมกกะวัตต์ ระบบไฟฟ้าภาคใต้จะมีความเสี่ยงในช่วง Peak Time เวลา 18.30 - 22.30 น. และกรณีวันที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่ 2,543 เมกกะวัตต์ ระบบไฟฟ้าภาคใต้จะมีความเสี่ยงเพิ่มเติมในช่วงบ่ายเวลา 13.30 - 15.30 น.
"ตามที่ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย แหล่ง JDA-A18 จะปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ โดยจะหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติระหว่างวันที่ 13 มิ.ย.-10 ก.ค.นี้ รวม 28 วันนั้น จะทำให้มีปริมาณก๊าซธรรมชาติหายไปประมาณ 420 ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และส่งผลให้โรงไฟฟ้าจะนะ จังหวัดสงขลา ที่มีกำลังผลิตรวม 710 เมกกะวัตต์ และใช้ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตดังกล่าวเป็นเชื้อเพลิงหลักจะต้องหยุดเดินเครื่อง ซึ่งกระทบต่อกำลังการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้ยังสูงกว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่" นายดิเรก กล่าว
กกพ.จึงได้มอบหมายให้ กฟผ.และ กฟภ.จัดทำแนวทางเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภาคใต้ระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน-วันที่ 10 กรกฎาคม 2557 เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไฟฟ้าดับในพื้นที่ภาคใต้
"การปิดซ่อมท่อก๊าซแหล่ง JDA-A18 ครั้งนี้ ถือว่าส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาคใต้อย่างมาก เนื่องจากปริมาณของก๊าซที่หายไปค่อนข้างเยอะ ขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้ยังสูงกว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ขาดแคลนไฟฟ้าอย่างรอบด้าน ทั้งในด้านการผลิตไฟฟ้า และการลดใช้ไฟฟ้า ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้ตามแผนงานที่วางไว้ ก็มั่นใจภาคใต้ว่าจะมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ และไม่เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับซ้ำรอยเหมือนเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 อย่างแน่นอน" นายดิเรก กล่าว
ด้านนายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงแผนการเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภาคใต้ของ กฟผ.ว่า จากการประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าและกำลังการผลิต จะเห็นว่าขาดกำลังผลิตประมาณ 100-250 เมกกะวัตต์ โดยมีปัจจัยที่จะสามารถช่วยลดผลกระทบดังกล่าวได้ คือ การใช้ไฟฟ้าต่ำกว่าคาดการณ์ และการรณรงค์ให้มีการลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงการทำงานแหล่งก๊าซฯ JDA-A18
ทั้งนี้ หากการรณรงค์ดังกล่าวยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าจะต้องมีการส่งพลังไฟฟ้าผ่านสายส่งเชื่อมโยงภาคกลาง-ภาคใต้ เกินมาตรฐานรองรับความมั่นคง ซึ่งจะส่งผ่านพลังไฟฟ้าเกิน 700 เมกกะวัตต์ แต่ไม่เกิน 950 เมกกะวัตต์ แต่หากมีแนวโน้มมากกว่านี้ ทาง กฟผ.จะดำเนินการประสานไปยัง กฟภ.เพื่อหมุนเวียนดับไฟฟ้าบางส่วนตามแผนที่จัดเตรียมไว้
นอกจากนี้ กฟผ.ยังได้เตรียมความพร้อมรองรับในด้านต่างๆ ไว้ดังนี้ 1.ระบบผลิต ปรับแผนบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าภาคใต้ โดยไม่ให้มีการบำรุงรักษาในช่วงที่แหล่ง JDA-A18 หยุดจ่ายก๊าซฯ 2.ระบบส่งและระบบป้องกัน จะทำการตรวจสอบอุปกรณ์ระบบส่งที่สำคัญ และระบบป้องกันต่างๆ ให้มีความพร้อมใช้งาน และ 3.เชื้อเพลิง กฟผ.จะจัดเตรียมปริมาณกักเก็บสำรอง และแผนการจัดส่งให้เพียงพอต่อการใช้งาน
ด้านนายนำชัย หล่อวัฒนตระกูล ผู้ว่าการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) เปิดเผยว่า กฟภ.ได้เน้นย้ำการไฟฟ้าเขตภาคใต้ให้ตรวจสอบบำรุงรักษาระบบจำหน่ายสายส่ง สถานีไฟฟ้า และอุปกรณ์ควบคุมป้องกันต่างๆ ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และเตรียมแผนการปลดโหลด กรณีกำลังสำรองผลิตต่ำด้วยการตรวจสอบฟีดเดอร์(วงจรจ่ายไฟ) ปริมาณโหลด(กำลังไฟฟ้าที่จ่าย) ให้เป็นไปตามแผนที่พิจารณาร่วมกับ กฟผ.และแจ้งแผนการปลดโหลดให้สำนักงาน กกพ.ทราบ
นอกจากนี้ จะเตรียมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง น้ำมันเชื้อเพลิง และพนักงานควบคุมเครื่องให้พร้อมปฏิบัติการช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา โดยจะมีการประสานงานกับกฟผ.อย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามสถานการณ์และปฏิบัติการในกรณีต่างๆอย่างเหมาะสม พร้อมกันนี้จะทำการประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ประชาชนและผู้ประกอบการร่วมกันประหยัดไฟฟ้า หรือหลีกเลี่ยงการใช้ไฟในช่วงโหลดสูงสุดควบคู่กันไปด้วย
ขณะเดียวกัน กกพ.ได้ดำเนินการประสานขอความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ในการเตรียมแผนรองรับกรณีกำลังการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ไม่เพียงพอ ซึ่งนายเจน นำชัยศิริ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ส.อ.ท.จะประสานความร่วมมือไปยังสภาอุตสาหกรรมภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัด รวมถึงจะมีการเผยแพร่ข้อมูลไปยังสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมฯ ทั้งหมด โดยเฉพาะสมาชิกในเขตภาคใต้ เพื่อขอความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาต่างๆ ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงที่มีความต้องการพลังงานสูงสุด 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงเวลา 13.30-15.30 น. และช่วงเวลา 18.30-22.30 น. ของวันจันทร์-วันเสาร์ ตลอดช่วงเวลาการหยุดจ่ายก๊าซ
โดยส.อ.ท.ได้ตั้งเป้าที่จะขอความร่วมมือจากกลุ่มอุตสาหกรรม 11 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มโรงแรม การประมงในมหาสมุทรและการประมงชายฝั่งทะเล การผลิตน้ำแข็ง ห้างสรรพสินค้า การทำอาหารกระป๋อง โรงเลื่อยและไม้ยาง ผลิตภัณฑ์ยางแผ่นเครป และยางอื่นๆ มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาที่คล้ายคลึงกัน อาหารสัตว์สำเร็จรูป เหมืองหิน และปูนซีเมนต์
ทั้งนี้ ส.อ.ท.มีความยินดีให้ความร่วมมือ โดยจะดำเนินการจัดเวทีทำความเข้าใจกับกลุ่มอุตสาหกรรมภาคใต้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าการขอความร่วมมือจากกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวจะสามารถช่วยลดกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ถึง 200-300 เมกกะวัตต์
อินโฟเควสท์