- Details
- Category: พลังงาน
- Published: Thursday, 04 June 2015 22:01
- Hits: 1762
'เวิลด์แบงก์' ยกไทยผู้นำชาติอาเซียน สำเร็จพัฒนาใช้พลังงานแสงอาทิตย์
บ้านเมือง : 'เวิลด์แบงก์' ชูไทยเป็นผู้นำพลังงานแสงอาทิตย์แห่งอาเซียน ยกย่อง 'ซีอีโอเอสพีซีจี' ผู้พัฒนาโซลาร์ฟาร์มสำเร็จแห่งแรกในไทยและชาติอาเซียน ขณะที่ ‘ซีอีโอหญิงไทย’ ปลื้มช่วยสร้างงานในประเทศได้กว่า 2 หมื่นตำแหน่ง ช่วยสร้างความมั่นคงพลังงานแห่งอนาคต
น.ส.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ได้รับเชิญจาก World Bank Group ไปร่วมบรรยาย เรื่อง'ความสำเร็จของการเป็นผู้นำ ในการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มแห่งแรกในประเทศไทย และในประชาคม ASEAN'ถือเป็นผู้หญิงคนเดียวของอาเซียนที่ถูกเชิญให้ขึ้นไปพูดบนเวที ณ เมืองบาเซโลนา ประเทศสเปน
น.ส.วันดี กล่าวว่า การเลือกทำโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เพราะเห็นว่า ประเทศไทยมีความเหมาะสมในหลายปัจจัยโดยเฉพาะพื้นที่และความเข้มของแสงอาทิตย์ และเงินทุนสนับสนุนจากสถาบันการเงิน แต่กว่าจะสำเร็จในโครงการแรกเมื่อ 5 ปีที่แล้วยากเย็นมาก เพราะไม่มีธนาคารใดในประเทศไทยให้กู้ เพื่อทำโครงการนี้เลย
อย่างไรก็ตาม การที่ International Finance Corporation หรือ IFC ภายใต้ world bank ให้การสนับสนุน ปล่อยกู้ผ่านธนาคารกสิกร ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ มีการชำระคืนยาวนานกว่าเงินกู้ทั่วไป ซึ่งโครงการโซลาร์ฟาร์มของบริษัทเอสพีซีจี ถือเป็นโครงการแรกของประเทศไทยและอาเซียน ที่ได้รับการสนับสนุน จึงกล่าวได้ว่า world bank เป็นส่วนสำคัญของการส่งเสริมความมั่นคงด้านพลังงานให้ไทยและโลก ทำให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสดงอาทิตย์ จนประสพผลสำเร็จ
สำหรับ แรงบันดาลใจที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการพัฒนา โซลาร์ ฟาร์ม เป็นคนแรกในประเทศเมื่อ 5 ปีก่อน ทั้งที่เกษียณจากการทำงานแล้ว เป็นเพราะรัฐบาลในอดีต ประกาศเป็นนโยบายสนับสนุนให้ภาคเอกชน มาลงทุนพัฒนาหมุนเวียนรูปแบบต่างๆ จึงตัดสินใจกลับมาทำงานใหม่อีกครั้ง ด้วยปรัชญาในการทำงานที่ว่า เริ่มต้นทำงานจากความเชื่อ แล้วทำให้สุดกำลังความสามารถ จนทำให้วันนี้ประสบความสำเร็จ เป็นผู้นำการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนของไทยและอาเซียน
น.ส.วันดี กล่าวว่า หลังจากโครงการที่ 1 ประสบความสำเร็จ ทำให้การลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในไทย และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเซีย สำหรับประเทศไทยสามารถช่วยสร้างานกว่า 20,000 คนในช่วงก่อสร้าง และอีกกว่า 2,000 ตำแหน่งงานในช่วงอีก 30 ปี นอกจากนี้ยังช่วยลดมลภาวะ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เทียบแล้วจะลดการปล่อยคาบอนไดออกไซด์ 210,000 ตันต่อปี
"ในประเทศไทยช่วง 5 ปีที่ผ่านมีการพัฒนา และนำไปสู่การพึ่งตนเอง คือประชาชนที่มีความรู้ได้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อใช้เอง หรือเรียกว่า solar roof top และเชื่อมั่นว่า แนวทางการพัฒนาการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ในชนบท และเป็นพลังงานที่ยั่งยืนและมั่นคงแก่ประเทศในอนาคต" น.ส.วันดีกล่าว
นอกจากนี้'โครงการโซล่าฟาร์' ของเอสพีซีจียังได้เปิดศูนย์การเรียนรู้ Education Center ให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชมเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ด้านพลังงาน ซึ่งไทยจะเป็นผู้นำด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และให้เยาวชนรุ่นหลังรู้จักการใช้พลังงานสะอาด และไม่มีมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม