- Details
- Category: พลังงาน
- Published: Saturday, 09 May 2015 22:20
- Hits: 1640
ยอดใช้ไฟพุ่งรับอุณหภูมิระอุ 37 ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) อยู่ที่ 27,198.4 เมกะวัตต์
แนวหน้า : นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2558 เวลา 14.23 น. ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด หรือ พีค (Peak) อยู่ที่ 27,198.4 เมกะวัตต์ ทำลายตัวเลขการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเป็นครั้งที่ 3 จากพีคครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2558 (27,139.0 เมกะวัตต์) สาเหตุสำคัญมาจากสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว โดยอุณหภูมิสูงถึง 37.1 อาศาเซลเซียส
อย่างไรก็ตาม กฟผ. ได้เตรียมกำลังผลิตไฟฟ้า และเชื้อเพลิงเพียงพอกับความต้องการใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนช่วยกันประหยัดไฟฟ้า ตามมาตรการเดินหน้าประเทศไทย ลดใช้พลังงาน คือ ล้างแอร์หน้าร้อน ปิดไฟดวงที่ไม่ใช้ ปรับแอร์ที่อุณหภูมิเหมาะสม 25 องศาเซลเซียส ปลดปลั๊กไฟที่ไม่ใช้ เปลี่ยนหลอดไฟมาใช้แบบประหยัดพลังงาน ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศ และลดค่าใช้จ่ายของท่านได้เป็นอย่างดี
ด้าน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงานกล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2558 ว่า ที่ประชุม กบง. มีมติเห็นชอบในหลักการและแนวทางการดำเนิน'โครงการนำร่องการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี (ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์สำหรับบ้านและอาคาร)' ในระยะแรก ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ต้องการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่อยู่นอกโครงการส่งเสริมราคารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Feed in Tariff (FiT) ให้สามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างเสรี ตามวัตถุประสงค์โครงการปฏิรูปเร็ว (Quick Win) โดยมอบหมายให้ พพ.ร่วมกับการไฟฟ้า 3 แห่ง คือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตหรือกฟผ. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ การไฟฟ้านครหลวง กำหนดพื้นที่นำร่องโดยระยะแรก กำหนดขนาดชุดละไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ สำหรับบ้านพักอาศัย และบนอาคารขนาดชุดละไม่เกิน 500 กิโลวัตต์ ภายในปี 2558
ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกพบว่า มีความผันผวนในรูปแบบเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คาดว่าทั้งปีราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และคงไม่ต่ำไปถึง 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อีกทั้งไม่ขึ้นไปสูงระดับ 100 เหรียญฯต่อบาร์เรล อย่างแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2558 ปตท.ประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดอีก 50 สต.ต่อลิตร ยกเว้น E85 ปรับขึ้น 30 สต.มีผลตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค. เวลา 05.00 น.
ร้อนจัด!พีกทะลุ 2.7 หมื่นเมกดีเซล-เบนซินขึ้น 50 สต.กบง.สั่งตรึงราคา LPG
ไทยโพสต์ : พลังงาน * กฟผ.แจงร้อนจัด ไฟฟ้าพีกเป็นครั้งที่ 3 ของปี 2558 ที่ 27,198.4 เมกะวัตต์ ปตท.-บางจากปรับราคาน้ำมันดีเซล-เบนซินขึ้นอีก 50 สต. ด้าน กบง.มีมติตรึงราคาขายปลีกแอลพีจีเดือน พ.ค.2558 ไว้ที่ 23.96 บาทต่อกิโลกรัม สนช.เปิดรับฟังความเห็นกฎหมายปิโตรเลียม คาดเสนอ สนช.ชุดใหญ่ 12 พ.ค.2558 นี้ ก่อนส่งไม้ต่อรัฐบาลตัดสินใจ
นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศที่ร้อนจัดทำให้เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2558 เมื่อเวลา 14.23 น. ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูง สุด (พีก) อยู่ที่ 27,198.4 เมกะวัตต์ ทำลายตัวเลขการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเป็นครั้งที่ 3 จากพีกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 เม.ย.2558 อยู่ที่ 27,139 เมกะวัตต์ สาเหตุสำคัญมาจากสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว โดยมีอุณหภูมิสูงถึง 37.1 องศาเซลเซียส
"กฟผ.ได้เตรียมกำลังผลิตไฟฟ้าและเชื้อเพลิงเพียงพอกับความต้องการใช้ไฟฟ้า แต่ขอให้ ประชาชนช่วยกันประหยัดไฟฟ้า ตามมาตรการเดินหน้าประเทศไทย ลดใช้พลังงาน"นายสุนชัยกล่าว
รายงานข่าวจากผู้ค้าน้ำมันแจ้งว่า ค่ายน้ำมัน ปตท.และบาง จากนำร่องขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิด 50 สตางค์ต่อลิตร ยกเว้นแก๊สโซฮอล์อี 85 ปรับขึ้น 30 สตางต์ต่อลิตร มีผลตั้งแต่เวลา 05.00 น. ของ วันที่ 8 พ.ค.2558 โดยราคาหน้าปั๊มเปลี่ยนแปลงดังนี้
ราคาน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 34.56 บาทต่อลิตร จากราคาเดิมที่ 36.26 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 29.00 บาทต่อลิตร จากราคาเดิม 29.70 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 28.18 บาทต่อลิตร จากราคาเดิม 28.38 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์อี 20 อยู่ที่ 26.78 บาทต่อลิตร จากราคาเดิม 26.98 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์อี 85 อยู่ที่ 23.28 บาทต่อลิตร และดีเซลอยู่ที่ 25.99 บาทต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันโลกปรับขึ้น หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ หรืออีไอเอ รายงานตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลงมากที่สุด 3.9 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 487.03 ล้านบาร์เรล ซึ่งถือว่าปรับลดลงมากที่สุดนับจากเดือน ก.ย.2557 ที่ผ่านมา
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติให้ตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ประจำเดือน พ.ค.2558 ไว้เท่าเดิม 23.96 บาทต่อกิโลกรัม แม้ราคาแอลพีจีตลาดโลกจะปรับเพิ่มขึ้นจากเดือน เม.ย.2558 จำนวน 5 เหรียญสหรัฐต่อตัน มาอยู่ที่ 469 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่ไทยได้รับ อานิสงส์จากอัตราแลกเปลี่ยนเดือน เม.ย.2558 อ่อนค่าลง ส่งผลให้ต้นทุนแอลพีจีหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมัน และการนำเข้ามีการปรับลดลง 0.09 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 16.21 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 16.12 บาทต่อกิโลกรัม
ดังนั้น จึงต้องไปปรับเพิ่มอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนของแอล พีจีประมาณ 0.10 บาทต่อกิโล กรัม จากประมาณ 0.53 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 0.63 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.2558 เป็นต้นไป ทั้งนี้ จะส่งผลดีต่อกองทุนของก๊าซแอลพีจี ทำให้มีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณ 35 ล้านบาทต่อเดือน
พลเอกสกนธ์ สัจจานิตย์ ประ ธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา ปัญหาการบังคับใช้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และ พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ในวันที่ 11 พ.ค.นี้ จะนำผลการศึกษาการบังคับใช้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และ พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ที่คณะอนุกรรมาธิการทั้ง 3 ชุด คือชุดศึกษาปัญหาการบังคับใช้ พ.ร.บ. ปิโตรเลียม พ.ศ.2514, ชุดศึกษาปัญหาการบังคับใช้ พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 และชุดรับฟังความคิดเห็นประชาชน ได้สรุปเสนอต่อคณะกรรมาธิการชุดใหญ่ให้ความเห็นชอบ และในวันที่ 12 พ.ค.นี้ จะนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา ก่อนที่จะส่งผลการศึกษาและข้อเสนอแนะต่างๆ ให้กับรัฐบาลต่อไป.