- Details
- Category: พลังงาน
- Published: Wednesday, 22 April 2015 15:31
- Hits: 2664
เรกูเลเตอร์ชี้ค่าเอฟทีงวดพ.ค.-ส.ค. คาดปรับลดไม่ต่ำกว่า 5 สต./หน่วย
แนวหน้า : นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ เปิดเผยภายหลังการประชุมอนุกรรมการพิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที) ประจำงวด พ.ค.-ส.ค.58 ว่า ค่าเอฟที มีแนวโน้มปรับลดลงอย่างแน่นอน โดยคาดว่าจะลดลงได้มากกว่า 5 สตางค์ต่อหน่วย แต่ไม่เกิน 10 สตางค์ต่อหน่วย ทั้งนี้ เนื่องจากเกิดการใช้น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา สำหรับผลิตไฟฟ้าในช่วงแหล่งก๊าซเมียนมาร์ปิดซ่อมน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับราคาก๊าซฯในตลาดโลกปรับตัวลดลงกว่า 20 บาทต่อล้านบีทียู และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง
สำหรับ การประชุมครั้งนี้ ทางการไฟฟ้าฝายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ได้เสนอให้ปรับลดค่าเอฟที 4.3 สตางค์ต่อหน่วย จากค่าเอฟทีเดิมที่อัดตรา 58.96 สตางค์ต่อหน่วย แต่ที่ประชุมเห็นควรให้ กฟผ.กลับไปพิจารณาปัจจัยด้านการใช้น้ำมันเตาและดีเซลที่แท้จริงใหม่ เพราะแต่เดิม กฟผ.เสนอให้ใช้น้ำมันเตาและดีเซลซึ่งมีผลต่อค่าเอฟที 3.15 สตางค์ต่อหน่วย คิดเป็นเงิน1,800 ล้านบาท แต่ตัวเลขการใช้น้ำมันเตาและดีเซลจริงกลับน้อยกว่าแผนที่ กฟผ.เสนอ
อย่างไรก็ดีจะให้ กฟผ. นำกลับมาเสนอที่ประชุมเรกูเตอร์ชุดใหญ่ใหม่ในวันที่ 22เม.ย. 2558 และจะสรุปค่าเอฟทีที่แท้จริงต่อไป ซึ่งเชื่อว่าค่าเอฟทีจะลอลงได้มากกว่า 4.3 สตางค์ต่อหน่วย แต่จะไม่ถึง 10 สตางค์ต่อหน่าย
"เชื่อว่าจากสถานการณ์ราคาก๊าซฯโลกที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ค่าเอฟทีตลอดปี2558 อยู่ในช่วงขาลง ส่วนจะปรับลดลงได้เท่าไหร่ขึ้นกับราคาน้ำมันโลกในปี2558 ด้วย" นายวีระพล กล่าว
นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงพลังงาน ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังวิกฤตพลังงาน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ กระทรวงพลังงาน (ศร.พน.) กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการเตรียมพร้อมเริ่มหยุดซ่อมบำรุงแหล่งซอติกาในวันที่ 20-27 เม.ย.2558 ซึ่งคาดว่า จากการเตรียมพร้อมของทุกฝ่าย การซ่อมบำรุงแหล่งซอติการจะเป็นไปตามแผน
สำหรับ ยอดใช้น้ำมันเตา และดีเซลทดแทนก๊าซฯของเมียนมาร์ที่ปิดซ่อมบำรุงช่วง 10 วันที่ผ่านมา มีการใช้น้ำมันเตาสะสม 60.9 ล้านลิตร จากแผนเดิมที่สำรองไว้ 144 ล้านลิตร ส่วนยอดใช้น้ำมันดีเซลสะสม 10 ล้านลิตร จากแผนเดิมที่สำรองไว้ 44 ล้านลิตร ขณะที่การใช้เอ็นจีวี 14.92 ล้านลูกบาศก์ฟุต ทำให้มีก๊าซธรรมชาติสำรองในระบบเหลือ 216.85 ล้านลูกบาศก์ฟุต จากที่เตรียมไว้ 355 ล้านลูกบาศก์ฟุต