- Details
- Category: พลังงาน
- Published: Friday, 20 February 2015 21:58
- Hits: 2029
นายกฯ เล็งตั้งคกก.ร่วมหาทางออกสัมปทานปิโตรเลียม สรุปก่อน 16 มี.ค.นี้
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จะมีการตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้นมา เพื่อหาข้อสรุปและตัดสินใจในการดำเนินการ หลังจากที่วันนี้ได้มีการจัดเวทีเสวนา "เดินหน้าประเทศไทย เพื่อความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืน" เนื่องจากนายกรัฐมนตรีต้องการให้ทุกฝ่ายร่วมกันหาทางออก ไม่อยากให้การพูดคุยบนเวทีเมื่อช่วงเช้าเป็นเพียงการเสนอความเห็นของแต่ละฝ่ายเท่านั้น ซึ่งอยากให้หาข้อสรุป โดยที่นายกรัฐมนตรีไม่ต้องการตัดสินใจเพียงคนเดียว
สำหรับ คณะกรรมการร่วม จะทำหน้าที่รวบรวมความคิดเห็นและหาแนวทางร่วมที่ดีที่สุด เพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและฝ่ายนโยบายได้ตัดสินใจ ทั้งนี้ข้อสรุปของคณะกรรมการชุดนี้จะต้องแล้วเสร็จก่อนวันที่ 16 มีนาคมนี้ ซึ่งจะเป็นวันครบกำหนดวันยื่นเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21
ส่วนการคัดเลือกคณะกรรมการร่วม จะมีตัวแทนทั้ง 2 ฝ่าย และเสนอรายชื่อกลับมาที่ฐบาลโดยเร็ว
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า ในวันนี้ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นตรงกันที่ควรต้องมีการบริหารพลังงานให้มีประสิทธิภาพ เน้นด้านความมั่นคง และเป็นธรรม และหลังจากนี้เห็นตรงกันควรปรับปรุงข้อกฎหมาย เพื่อเป็นการเปิดทางเลือกและเพิ่มเครื่องมือให้กับภาครัฐ ในการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานต่อไปในอนาคต
รมว.พลังงาน พอใจเวทีเสวนา 2 ฝ่าย แต่ย้ำไม่มีผลต่อการเปิดสัมปทานรอบ 21
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน กล่าวถึงภาพรวมการจัดเวทีเสวนา "เดินหน้าประเทศไทย เพื่อความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืน"ในวันนี้ว่า เป็นไปด้วยดีทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งรัฐและกลุ่มที่เห็นต่างได้ให้ข้อมูลอย่างรอบด้านและเป็นประโยชน์ ส่วนข้อเสนอให้มีการทำประชามติ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความคิดเห็น แต่จะใช้ระยะเวลาดำเนินการนานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ
ส่วนที่มีการถกเถียงเรื่องข้อกฎหมายค่อนข้างมาก รมว.พลังงาน กล่าวว่า กฎหมายในปัจจุบันมีความทันสมัยและดีพอที่จะนำไปปฎิบัติได้ จึงไม่จำเป็นต้องแก้ไข แต่ให้ออกเป็นประกาศของกระทรวงในข้อมูลที่เป็นประโยชน์แทนได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารที่ตัดสินใจที่จะนำไปใช้ และต้องมีความโปร่งใส
"การจัดเวทีเสวนาเดินหน้าประเทศไทยเพื่อความมั่นคงทางพลังงานในวันนี้เป็นการให้ข้อมูลกับภาคประชาชนไม่มีผลต่อการตัดสินใจ ซึ่งยืนยันว่าขณะนี้ยังคงเดินหน้าเปิดให้ยื่นซองประมูลขอสำรวจสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 จนถึง 16 มีนาคมนี้ โดยยืนยันว่าหากมีการเปิดสัมปทานครั้งนี้จะส่งผลดีต่อประชาชนที่จะลดต้นทุนเรื่องของพลังงาน"รมว.พลังงาน กล่าว
ส่วนกรณีที่ภาคประชาชนอยากให้รัฐบาลลงทุนสำรวจแปลงปิโตรเลียมเองก่อน หรือให้ใช้ระบบจัดจ้างสำรวจ ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากเพราะต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล
"ยืนยันว่า รัฐทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ซึ่งก็คือการที่ประชาชนจะได้ใช้พลังงานในราคาที่ถูกกว่าการนำเข้า เพราะปัจจุบันค่าไฟฟ้าของไทยแพงเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์และฟิลิปปินส์ หากไม่เร่งเปิดสัมปทานอาจเห็นค่าไฟแตะระดับ 6-7 บาทต่อหน่วย"รมว.พลังงาน กล่าว
นายอารีพงษ์ ภู่ชะอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังรับฟังความคิดเห็นจากเวทีเสวนา "เดินหน้าประเทศไทยเพื่อความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืน" ว่า เรื่องของพลังงานสำรองที่ประเทศไทยมีเป็นประเด็นที่สำคัญในการตัดสินใจในการเดินหน้าเปิดสัมปทาน โดยข้อมูลของกระทรวงพลังงาน ที่ระบุว่าแหล่งพลังงานยังเหลืออีก 7-8 ปี เป็นแหล่งพลังงานที่ได้ข้อมูลจากกฎหมายสัมปทานที่ออกอยู่ทุกวันว่า บริษัทผู้รับสัมปทานทั้ง 50 บริษัทต้องมีการรายงานข้อมูลที่สำรวจว่ามีสำรองอยู่เท่าไร เพราะฉะนั้นกระทรวงพลังงานจึงใช้เป็นฐานในการพิจารณา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ดีที่สุด
ทั้งนี้ จากการฟังฝ่ายภาคประชาชน ยังมีข้อกังวลเรื่องของข้อมูลที่ยังไม่ตรงกัน แต่หลายข้อมูลที่แก้ไขได้นั้น หลายเรื่องไม่เกี่ยวกับพ.ร.บ.ปิโตรเลียม เช่น เรื่องของภาษี เชื่อว่าสรรพากรดูแลผลประโยชน์ของภาครัฐ และเรื่องที่ภาคประชาชนมีความเป็นห่วงอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องดังกล่าวสามารถแก้ที่ประมวลรัษฎากรได้ ขณะที่ภาคประชาชน แสดงความเป็นห่วงว่า พ.ร.บ.ปิโตรเลียม มีการคัดสรรมีความโปร่งใสหรือไม่ มีอำนาจในการควบคุมหรือไม่ นั้น เมื่อดูในกฎหมายพ.ร.บ.ปิโตรเลียม มาตรา 26 ระบุว่าปิโตรเลียมเป็นของรัฐ เพราะฉะนั้นรัฐจะต้องมีเงื่อนไข ควบคุมในการดำเนินการปิโตรเลียมที่เป็นของรัฐ ซึ่งในพ.ร.บ. ระบุว่าเมื่อมีการค้นพบแล้วต้องตกลงราคา ผลประโยชน์กับทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รวมถึงเมื่อยามฉุกเฉินรัฐมนตรีสามารถที่จะให้หยุดการขนส่งปิโตรเลียมออกนอกประเทศได้ เพราะฉะนั้นประเด็นที่ภาคประชาชนมีความเป็นห่วงนั้น กฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขร้ฐสามารถควบคุมการผลิต ทุกอย่างเพื่อดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติ รวมถึงความมั่นคงของประเทศได้
อย่างไรก็ตาม จากการรับฟังครั้งนี้ คิดว่าภาครัฐได้ชี้แจง และคิดว่าจะมีการพุดคุยกัน ว่าในเชิงนโยบาย จากข้อสังเกตจากภาคประชาชนได้ดำเนินการมามีประเด็นใดที่จะสามารถแก้กฎระเบียบของทางกระทรวงพลังงานให้มีความรัดกุมขึ้นได้ หรือแก้กฎระเบียบในเรื่องของกระทรวงการคลังในเรื่องของภาษีให้มีความรัดกุมได้ แต่ในเรื่องของพลังงานที่กำลังขาดแคลนขึ้นทุกวันนี้นั้น กระทรวงพลังงานได้ติดตามปัญหาในทุกพื้นที่ตลอด เพราะฉะนั้นในเรื่องของพลังงานวิกฤตเราต้องมีการสำรวจเดินหน้าผลิตเพิ่มเติมให้ได้ จะมารอไม่ได้ เพราะมีการขาดแคลนพลังงานเข้ามาในการพิจารณาของกระทรวงพลังงานตลอด ซึ่งเป็นความอ่อนไหวของพลังงานประเทศ โดยในวันนี้เกี่ยวข้องกับการลงทุนของนักลงทุนจากต่างประเทศ ที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นว่าพลังงานของประเทศยังมีอย่างมั่นคง
ส่วนจำเป็นต้องออกกฎหมายลูก หรือจะใช้กฎหมายเดิมนั้น นายอารีพงษ์ กล่าวว่า กฎหมายปิโตรเลียมได้วางกำหนดไว้ว่าภาครัฐสามารถบริหารจัดการได้ ให้สิทธิภาคเอกชนสำรวจปิโตรเลียม และผลิตภายใต้เงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนด ซึ่งถ้าเราต้องใช้เอกชนต้องขายให้ ถ้าคิดว่าสำรวจแล้วมีแหล่งผลิตสำรองมาก เราก็จะเจรจาผลประโยชน์ก็ต้องให้มากขึ้น และในยามฉุกเฉินรัฐมนตรีมีอำนาจชัดเจนในการหยุดการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมได้ตามข้อกฎหมาย
นายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังรับฟังความคิดเห็นจากเวทีเสวนา "เดินหน้าประเทศไทยเพื่อความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืน" ว่า ทางภาครัฐได้พยายามตอบข้อสงสัยในทุกประเด็นที่ภาคประชาชนมีการตั้งคำถามมา ซึ่งข้อเสนอให้มีการแก้ไขกฏหมายนั้น ที่ผ่านมามีการแก้ไขมาหลายฉบับ และถ้าหากจะแก้ไขอีกต้องมีการศึกษาและวิเคราะห์ว่า พ.ร.บ.ฉบับเดิมมีส่วนบกพร่องตรงจุดไหน และต้องแก้ไขในเรื่องใดบ้าง ซึ่งก็ไมได้มีการปิดกั้นให้มีการศึกษา
ทั้งนี้ ในฐานะที่ตนเองทำหน้าที่ในสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เห็นว่า การเตรียมการในการออกประกาศเชิญชวนเอกชนมาร่วมการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ใช้เวลานาน ซึ่งหากจะมีการเปลี่ยนแปลงจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคเอกชนที่สนใจที่จะมาเข้าร่วม จึงควรเดินหน้าตามประกาศที่มีอยู่ ส่วนข้อสังเกตุและข้อเสนอแนะต่างๆที่ภาคประชาชนเสนอมา ควรนำไปปรับปรุงแก้ไขในการแก้ไขพ.ร.บ.ปิโตรเลียมในฉบับหน้าต่อไป
ส่วนเรื่องการทำประชามติ ถือว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายการเมืองและทางรัฐบาลจะเป็นผู้พิจารณา
อินโฟเควสท์
รมว.พลังงาน หวังเสวนาปฏิรูปพลังงานวันนี้ได้ข้อสรุป ยันยังเปิดสัมปทานฯรอบที่ 21 ถึง 16 มี.ค.นี้
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน เชื่อการอภิปรายบนเวทีเสวนาเดินหน้าปฎิรูปประเทศเพื่อความมั่นคงทางพลังงานอย่างยั่งยืนในวันนี้จะได้ข้อสรุปที่รัฐบาลสามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ต่อไป
รมว.พลังงาน กล่าวว่า มีความจำเป็นที่ต้องเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 จนถึงวันที่16 มีนาคมนี้เนื่องจากประเมินว่าในอีก 7 ปีข้างหน้า หากไม่สามารถหาแหล่งสำรองพลังงานใหม่ ไทยจำเป็นต้องมีการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว ซึ่งปัจจุบันไทยมีความต้องการใช้ก๊าซ 40 ล้านตันต่อปี และต้องนำเข้าก๊าซ 10 ล้านตันต่อปี และถึงแม้รัฐจะให้สัมปทานในวันนี้ก็คาดว่าอาจใช้เวลา 4-5 ปีข้างหน้ากว่าจะพบแหล่งพลังงาน
ขณะที่การเพิ่มปริมาณนำเข้าก๊าซจากแหล่งก๊าซในเมียนมาร์และมาเลเซียมากขึ้นคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากปัจจุบันประเทศเหล่านั้นมีความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ไทยมีการผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอต้องรับซื้อจาก สปป.ลาว จำนวน 2,000 เมกะวัตต์ หรือประมาณ7-8% และในปีหน้าต้องนำเข้ามากกว่า 10%
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย