- Details
- Category: พลังงาน
- Published: Friday, 13 February 2015 00:14
- Hits: 2150
ราคาน้ำมันดิบลด หลังตลาดกังวลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
- ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงต่อ หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) รายงานว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 ก.พ. 58 แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 80 ปี โดยปรับเพิ่มขึ ้น 4.9 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 417.9
ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ ้นเพียง 3.7 ล้านบาร์เรล สำหรับปริมาณ
น้ำมันนดิบคงคลัง ณ จุดส่งมอบคุชชิ่ง โอกลาโฮมา เพิ่มขึ ้น 1.2 ล้านบาร์เรล ด้านปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังสหรัฐฯ เพิ่มขึ ้น 2.0 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 242.6 ล้านบาร์เรล โดย
มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ ้นเพียง 200,000 บาร์เรล
- นักวิเคราะห์ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงการเข้ามาซื้อน้ำมันดิบเพื่อทำกำไรระยะสั้นเท่านั้น และคาดว่าราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์ถัดไปจะลดลงมากกว่าที่ได้ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ เนื่องจากปริมาณน ้ามันดิบคงคลัง
สหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ ้นสูงมาก ส่งผลให้ตลาดกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่ล้นตลาดมากถึง 2 ล้านบาร์เรลจะยังไม่สามารถหาทางระบายออกไปได้
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (11 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายและจับตาดูการประชุมฉุกเฉินระหว่างกรีซและกลุ่มเจ้าหนี ้ยุโรป เพื่อเจรจาคลี่คลายวิกฤติหนี ้ของกรีซ โดยคาดว่ารัฐมนตรีคลังกรีซจะยื่นข้อเสนอให้มีการท าข้อตกลงชั่วคราวเพื่อซื้อเวลาการใช้หนี
้ อย่างไรก็ดีมีแนวโน้มว่าการประชุมครั ้งนี ้จะยังไม่มีความคืบหน้า โดยผู้น าของสหภาพยุโรป (อียู) จะจัดการประชุมในเรื่องดังกล่าวในวันนี ้ (12 ก.พ.) และรมว.คลังกลุ่มยุโรปจะประชุมอีกครั ้งในวันจันทร์หน้า ซึ่งคาดว่าอาจมีการบรรลุข้อตกลงแก้ไขปัญหาหนี ้ระยะสั้นสำหรับกรีซ ก่อนที่มาตรการช่วยเหลือทางการเงินต่อกรีซฉบับปัจจุบันของสหภาพยุโรปจะหมดอายุในวันที่ 28 ก.พ. นี้
+ รัฐมนตรีของสหภาพยุโรป (อียู) ประกาศชะลอการใช้มาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่อบุคคลและบริษัทหลายแห่งในรัสเซียและยูเครนตะวันออก หลังจากที่ฝรั่งเศสและเยอรมนีเสนอแผนจัดการเจรจาเพื่อสันติภาพในวันนี้ (12 ก.พ.) โดยมีผู้นำของรัสเซีย ยูเครน ฝรั่งเศส และเยอรมนีเข้าร่วมประชุม ซึ่งหากการเจรจาเป็นไปด้วยดี อียูอาจยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าว และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจรัสเซียและยูเครนกลับมาฟื้นตัวได้บ้าง หลังล่าสุดค่าเงินของยูเครนร่วงลงถึง 30% เมื่อเทียบสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากธนาคารกลางประกาศใช้ระบบลอยตัวค่าเงิน
ราคาน้ำมันดีเซล ปรับลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังมีอุปสงค์จากเวียดนาม แอฟริกาใต้และศรีลังกา นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงสนับสนุนจากการที่ตะวันออกกลางและอินเดียมีโอกาสในการส่งออกน้ำมันดีเซลไปยังยุโรป ช่วยลดปริมาณอุปทานที่ล้นตลาดอยู่ในขณะนี้
ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากอุปสงค์จากประเทศผู้นำเข้าน้ำมันเบนซินรายใหญ่ในภูมิภาคอย่างอินโดนีเซียยังคงซบเซา ประกอบกับโรงกลั่นในจีนเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าเทศกาลตรุษจีน ส่งผลให้อุปทานเพิ่มขึ้น
ทิศทางราคาน้ำมันดิบ
ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 48-53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 54-59 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ปัจจัยที่น่าจับตามอง
จับตาเศรษฐกิจของยูโรโซน ซึ่งกรีซกำลังเผชิญกับแรงกดดันอีกครั้ง หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยืนยันว่าจะไม่ยอมรับการใช้พันธบัตรรัฐบาลกรีซมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้เพื่อระดมทุนครั้งใหม่ เนื่องจากพันธบัตรของรัฐบาลกรีซอยู่ในระดับ “ขยะ” (junk) ซึ่งอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของ ECB ซึ่งท่าทีล่าสุดของ ECB ได้สร้างความวิตกกังวลแก่นักลงทุนเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจยูโรโซน ส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ ได้แก่ บีพี และ เชฟรอน รวมถึงบริษัทน้ำมันอื่นๆ เริ่มปรับลดงบประมาณการลงทุนในปีนี้ เพื่อรับมือกับภาวะราคาน้ำมันตกต่ำ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าจะมีการชะลอการลงทุนเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้อุปทานส่วนเกินของน้ำมันดิบลดลง และหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นได้
ติดตามการประท้วงโดยสหภาพแรงงานของโรงกลั่นน้ำมัน 9 แห่งในสหรัฐฯ หลังจากการเจรจาด้านแรงงานระหว่างแกนนำสหภาพและโรงกลั่นน้ำมันยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ส่งผลให้ไม่สามารถต่อสัญญาจ้างงานฉบับใหม่กับบริษัทน้ำมันได้ โดยสาเหตุมาจากความไม่พอใจ เหตุโรงกลั่นไม่ใส่ใจคุณภาพชีวิตของแรงงาน โดยการประท้วงครั้งนี้ ถือเป็นการหยุดงานประท้วงของแรงงานโรงกลั่นน้ำมันทั่วประเทศครั้งแรก และใหญ่ที่สุดในรอบ 35 ปี ซึ่งกระทบต่อกำลังการกลั่นน้ำมันของสหรัฐถึงร้อยละ 10 และส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้น