- Details
- Category: พลังงาน
- Published: Monday, 16 December 2019 17:20
- Hits: 3240
สนธิรัตน์ ชูนโยบาย B20 - EV หนุนภาคขนส่ง บนเวทีอินเตอร์เนชันแนล ทรัคโชว์ 2019 พร้อมตรวจเยี่ยมโรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP ที่จ.นครสวรรค์
สนธิรัตน์ ลงพื้นที่นครสวรรค์ ลุย 2 ภารกิจ เชื่อมโยง Energy for All เปิดงานอินเตอร์เนชันแนล ทรัคโชว์-ตรวจเยี่ยมโรงไฟฟ้าชีวมวล เชื้อเพลิงชานอ้อย เพื่อผลักดันให้ภาคพลังงานเป็นพื้นฐานที่สร้างความแข็งแรงให้เศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2562 ของสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และงานอินเตอร์เนชันแนล ทรัคโชว์ 2019 ที่จ.นครสวรรค์ พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ทิศทางพลังงานภาคการขนส่งจะไปทางไหน B20 หรือรถไฟฟ้า” ในประเด็นสำคัญว่า สมาคมฯ เป็นกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางถนนที่ใช้รถบรรทุกเป็นหลัก ซึ่งนับว่ามีความสำคัญในการสนับสนุนการกระจายการค้าภายในประเทศและในกลุ่มอาเซียน เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค เกิดการหมุนเวียนสินค้า สร้างความเจริญให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ และการจัดงานอินเตอร์เนชั่นแนล ทรัคโชว์ 2019 แสดงนวัตกรรมยานยนต์และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้เกิดระบบจัดการขนส่งที่ดีขึ้นมีคุณภาพได้มาตรฐาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึง นโยบายพลังงานกับภาคขนส่งว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาภาคขนส่งเป็นกลุ่มที่ใช้พลังงานสูงสุด ในสัดส่วน 40% ของการใช้พลังงานทั้งหมดของประเทศ ซึ่งรถภาคขนส่ง ส่วนใหญ่จะเป็นรถดีเซลที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานมีหน้าที่ในการจัดหาพลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้มีการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภาคขนส่งทั้งไบโอดีเซลและเอทานอล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพที่สะอาดมีส่วนช่วยลด PM2.5 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ที่ผ่านมา สิ่งที่กระทรวงพลังงานได้ทำไปแล้วคือการยกระดับการใช้น้ำมันไบโอดีเซลจากปาล์มที่ B7 ไปเพิ่มส่วนผสมน้ำมันปาล์มดิบสัดส่วนสูงขึ้นเป็น B10 ใช้สำหรับรถยนต์ดีเซลทั่วไป และมี B20 สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ เพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการและค่าครองชีพของประชาชน มีส่วนช่วยแก้ปัญหาน้ำมันปาล์ม สร้างเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมันให้เกษตรกรได้มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดี
นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พยายามเร่งขับเคลื่อนมาตรฐานยูโร 5 ซึ่งคาดว่าจะบังคับใช้กับเครื่องยนต์และคุณภาพน้ำมันตามมาตรฐานใหม่ได้ภายใน ปี 2567
สำหรับ การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) นั้น ก็เป็นมาตรการหนึ่งของการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่ง ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2558 - 2579 (EEP 2015) ตั้งเป้าหมายส่งเสริมรถ EV ในปี 2579 รวม 1.2 ล้านคัน ซึ่งล่าสุดก็ได้เปิดตัวมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าติดฉลากเบอร์ 5 ของ กฟผ. ไปแล้ว นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของรถ EV ในประเทศไทย
โดยแผนส่งเสริม EV จะร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เพื่อพัฒนาแผนส่งเสริมการใช้ การสนับสนุนด้านภาษี และทำให้เกิดการสร้างฐานการผลิตในประเทศ ซึ่งยานยนต์ไฟฟ้าสามารถช่วยลดมลพิษในเขตเมือง ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมให้เมืองน่าอยู่ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพเพื่อสร้างระบบแบตเตอรี่สำรองที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าเพื่อรองรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับ EV และโครงการระบบรางต่างๆ เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟชานเมืองรอบกรุงเทพฯ ที่เป็นสถานีหลัก โดยจะถูกบรรจุอยู่ในโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าต่าง ๆที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP)
ในวันเดียวกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายสมบูรณ์ หน่อแก้ว รองปลัดกระทรวงพลังงาน นายยงยุทธ จันทรโรทัย อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน และผู้บริหารกระทรวงพลังงาน ยังได้เดินทางตรวจเยี่ยมโรงไฟฟ้าชีวมวลเชื้อเพลิงชานอ้อย ของบริษัทเกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าของผู้ผลิตขนาดเล็กมาก (VSPP) ที่ ต.หนองโพ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ มีกำลังผลิตติดตั้ง 50 เมกะวัตต์ ปริมาณซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญา 8 เมกะวัตต์ โดยใช้เชื้อเพลิงจากชานอ้อยในการผลิต 10,000 ตัน/วัน และใช้ใบอ้อย 2,000 ตัน/วัน มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้า ปัจจุบันโรงไฟฟ้ายังมีอุปสรรคสำคัญในการบริหารจัดการเชื้อเพลิง เพราะปริมาณเชื้อเพลิงไม่เพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลัง
โดยการตรวจเยี่ยมโรงไฟฟ้าดังกล่าว ถือเป็นการศึกษาโครงสร้างและระบบบริหารจัดการโรงไฟฟ้า ชีวมวล เพื่อนำข้อมูลทั้งข้อดีหรือข้อจำกัดต่างๆ ไปเป็นฐานข้อมูลเพื่อต่อยอดไปสู่การบูรณาการพัฒนาโรงไฟฟ้าชุมชนเชื้อเพลิงชีวมวล ตามนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อเศรษฐกิจฐานรากของกระทรวงพลังงานที่กำลังอยู่ระหว่างการขับเคลื่อนในขณะนี้ ให้เกิดผลสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม #สนธิรัตน์ #พลังงานเพื่อทุกคน #EnergyForAll
สนธิรัตน์ ปลื้ม แผนหนุนดีเซล B10 ดันราคาปาล์มน้ำมัน ทะลุ 5 บ./ก.ก.
สนธิรัตน์ เผยนโยบายส่งเสริมดีเซล B10 ดันราคาปาล์มน้ำมัน ทะลุ 5 บ./ก.ก. ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ไม่มีปัญหา มั่นใจนโยบายช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล B10 เป็นมาตรฐานหลักทั่วประเทศ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 นั้น ส่งผลให้ขณะนี้ราคาปาล์มน้ำมันพื้นที่ภาคใต้พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึง ณ วันนี้ ราคาปาล์มอยู่ที่ 5 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว ช่วยให้พี่น้องชาวสวนมีรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปาล์มเคยตกต่ำเหลือแค่ 2 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น
“ราคาปาล์มน้ำมันพื้นที่ภาคใต้หลายแห่ง ราคารับซื้อขยับไปถึง 5.30 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว และเชื่อว่ายังมีการเร่งรับซื้ออย่างต่อเนื่องไปจนถึงต้นปีหน้า เพื่อนำไปใช้ในการผลิตพลังงานน้ำมัน ตรงนี้ผมถือว่าเราประสบความสำเร็จตามเป้าหมายนโยบายส่งเสริมน้ำมันดีเซลมาตรฐาน B10 ในรถยนต์ ทำให้เม็ดเงินทุกบาททุกสตางค์ ไปถึงมือพี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์ม ช่วยพลิกชีวิต สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างรอยยิ้มให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง”
ทั้งนี้ ไม่เพียงมาตรการยกระดับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วมาตรฐานจาก B7 เป็น B10 แล้ว ก่อนหน้านี้ทางกระทรวงพลังงานยังมอบให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อน้ำมันปาล์ม ไปผลิตกระแสไฟฟ้าอีก 1.3 แสนตัน นับเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยในการแก้ปัญหาราคาได้เช่นเดียวกัน
นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า ราคาปาล์มน้ำมันที่สูงถึง 5 บาทต่อกิโลกรัม ยังเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาล นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยคุณภาพชีวิตของพี่น้องเกษตรกรทุกคนและต้องการใช้นโยบายแก้ปัญหาด้วยความยั่งยืน ดังเช่นเรื่องปาล์มน้ำมันครั้งนี้ ถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จที่เกิดจากการทำงานอย่างเป็นระบบและครบวงจร มุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง นำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
สำหรับ ค่ายรถยนต์ต่างๆ ที่ต้องปรับมาใช้น้ำมันดีเซล B10 นั้น ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้มีการประชุมร่วมกันและทำความเข้าใจหมดแล้ว ทุกฝ่ายต่างมีความเชื่อมั่นและเห็นตรงกัน โดยจะมีรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลทั้งหมดมากกว่า 50% สามารถใช้น้ำมัน B10 ได้ไม่เป็นปัญหา ขณะเดียวกันยังมีน้ำมันดีเซล B7 และ B20 ที่ถือเป็นน้ำมันทางเลือก แต่ทั้งหมดนี้ก็ล้วนมีส่วนช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้เช่นกัน
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web