- Details
- Category: พลังงาน
- Published: Monday, 21 January 2019 20:44
- Hits: 1516
ราคาน้ำมันดิบ คาดปรับเพิ่ม หลังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีทิศทางที่ดี
บทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ โดย บมจ.ไทยออยล์: ฉบับวันที่ 14 มกราคม 2561
ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 49 - 54 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 58 - 63 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (14 - 18 ม.ค. 62)
ราคาน้ำมันดิบคาดได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลต่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังการเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศดำเนินไปด้วยดี ประกอบกับ ซาอุดิอาระเบียมีแนวโน้มปรับลดปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบเพื่อปรับสมดุลตลาดน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบคาดจะถูกกดดันจาก ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังกำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สวนทางกับอัตราการกลั่นของโรงกลั่นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลง เพื่อลดปริมาณน้ำมันเบนซินและดีเซลคงคลังสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในระดับสูง
ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:
ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีน เพื่อหาข้อสรุปของข้อพิพาทการค้าระหว่างสองประเทศ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 ม.ค. 62 ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ส่งสัญญาณดีต่อตลาด เนื่องจาก นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ โดยจีนให้คำมั่นว่าจะซื้อสินค้าจำนวนมากจากสหรัฐฯ ทั้งภาคการเกษตร ภาคพลังงาน ภาคผลิตและการบริการ ซึ่งการเจรจาในครั้งนี้นับเป็นการเจรจาครั้งแรกหลังจากสองประเทศมหาอำนาจตกลงในการชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าของแต่ละประเทศเป็นเวลา 90 วัน
ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของซาอุดิอาระเบียมีแนวโน้มปรับลดลง โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบจากซาอุดิอาระเบียในเดือน ก.พ. 62 จะอยู่ที่ระดับ 7.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งลดลงจากปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบในเดือน ม.ค. 62 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 7.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ ซาอุดิอาระเบียมีความมั่นใจว่าการลดกำลังการผลิตจากผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกในครั้งนี้จะทำให้ตลาดน้ำมันดิบกลับสู่สมดุลได้
ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ คาดปรับเพิ่มขึ้น จากอัตราการกลั่นของโรงกลั่นในสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลง สวนทางกับกำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ซึ่งกลับมาอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือ 11.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ณ จุดส่งมอบ คุชชิ่งโอลาโฮมา ปรับเพิ่มขึ้น 331,000 บาร์เรล ในขณะที่อัตราการกลั่นของโรงกลั่นในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงราวร้อยละ 1.1 มาอยู่ที่ ร้อยละ 96.1
จับตาทิศทางเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลง ซึ่งอาจส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันดิบปรับตัวลดลง หลังเศรษฐกิจจีนและยุโรปค่อนข้างซบเซา โดยล่าสุด เยอรมนีซึ่งถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป เผยปริมาณการผลิตภาคอุตสาหกรรมของประเทศ ในเดือน พ.ย. 61 ว่าปรับลดลงร้อยละ 1.9 ซึ่งเป็นการปรับลดลงเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน ประกอบกับ บริษัท Apple ยังได้ปรับลดคาดการณ์ยอดขายในประเทศจีนลง นอกจากนี้ ธนาคารโลกได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจโลกในปีหน้าลง จากผลกระทบของอัตราการลงทุนที่ปรับลดลงและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยธนาคารโลกคาดอัตราการเติบโตเศรษฐกิจโลกในปี 2562 จะอยู่ที่ร้อยละ 2.9 ซึ่งน้อยกว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3
ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯ ปริมาณการส่งออกจีน และดัชนีราคาผู้บริโภคยูโรโซน
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (7 – 11 ม.ค. 62)
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 3.63 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 51.59 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 3.42 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 60.48 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 61 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่คืบหน้าไปในทิศทางบวก ประกอบกับ กลุ่มผู้ผลิตในและนอกกลุ่มโอเปกปรับลดกำลังการผลิตลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับการผลิตในเดือน ต.ค. 61 อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดัน หลังนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ประกอบกับ ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์ สิ้นสุด ณ วันที่ 4 ม.ค. 62 ปรับลดลงราว 1.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับลดถึง 2.8 ล้านบาร์เรล