- Details
- Category: น้ำมัน-แก๊ส
- Published: Sunday, 27 December 2020 15:11
- Hits: 7863
สนพ. สรุปสถานการณ์พลังงาน 9 เดือนแรกของปี 2563
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยสถานการณ์พลังงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 พบว่า ภาพรวมการใช้พลังงานขั้นต้นลดลงร้อยละ 8.0 ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงาน การผลิต และนำเข้าพลังงานชะลอตัวลง
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์พลังงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 พบว่า การใช้พลังงานขั้นต้นลดลงร้อยละ 8.0 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้การผลิตพลังงานขั้นต้นลดลงตามความต้องการใช้พลังงาน โดยลดลงร้อยละ 10.2 ในขณะที่ไฟฟ้านำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 เนื่องจาก มีโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำของประเทศลาวเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในช่วงปลายปี 2562 จำนวน 3 โรง มีกำลังการผลิตรวม 1,843 เมกะวัตต์ สำหรับสถานการณ์พลังงานรายเชื้อเพลิงในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 สรุปได้ดังนี้
- การใช้น้ำมันสำเร็จรูป ลดลงร้อยละ 12.4 โดย การใช้น้ำมันดีเซล ลดลงร้อยละ 2.9 เป็นผลจากปัญหาภัยแล้ง ทำให้มีการขนส่งสินค้าลดลง การใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล ลดลงร้อยละ 2.3 โดยการใช้ในไตรมาสที่สามปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และการสนับสนุนการท่องเที่ยวผ่านมาตรการเราเที่ยวด้วยกันของรัฐบาล ทำให้มีการเดินทางเพิ่มขึ้น การใช้น้ำมันเครื่องบิน ลดลงร้อยละ 57.7 เนื่องจากข้อจำกัดของการอนุญาตให้ทำการบินในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเครื่องบินลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การใช้ LPG ลดลงเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะการใช้ในภาคขนส่ง ลดลงร้อยละ 27.6 จากการปรับลดลงของราคาขายปลีกน้ำมันส่งผลให้ผู้ใช้รถยนต์ LPG บางส่วนหันมาใช้น้ำมันทดแทน
- การใช้ก๊าซธรรมชาติ ลดลงร้อยละ 7.4 โดยลดลงทุกสาขาเศรษฐกิจ ทั้งการใช้เป็นเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี การใช้เพื่อผลิตไฟฟ้า การใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ด้านการใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ (NGV) ลดลงร้อยละ 29.5 จากผู้ใช้รถยนต์ NGV บางส่วนเปลี่ยนมาใช้น้ำมัน เนื่องจากราคาอยู่ในระดับไม่สูงมากนักและมีสถานีบริการทั่วถึงมากกว่า
- การใช้ถ่านหินและลิกไนต์ ลดลงร้อยละ 1.0 และ 5.7 ตามลำดับ
- ด้านการใช้ไฟฟ้า ลดลงร้อยละ 3.1 โดยลดลงในเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะสาขาธุรกิจที่มีการใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างชัดเจน ได้แก่ โรงแรม และห้างสรรพสินค้า ที่มีการใช้ไฟฟ้าลดลง 36.5 และ 16.8 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ภาคครัวเรือนมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง ร้อยละ 9.5 ผลจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา รวมทั้งหลายหน่วยงานยังคงมีมาตรการ Work from home
อย่างไรก็ตาม สนพ. ยังคงจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และปัจจัยอื่นๆ ที่จะส่งผลต่อการใช้พลังงานของประเทศอย่างใกล้ชิด อาทิ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก มาตรการในการป้องกัน โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสามารถวิเคราะห์แนวโน้มการใช้พลังงานในอนาคต และเตรียมพร้อมรับมือกับความต้องการใช้พลังงานในสภาวะที่ผันผวนเช่นนี้
ราคาน้ำมันดิบปี 2564 มีแนวโน้มปรับเพิ่ม
หลังความต้องการใช้น้ำมันเติบโตจากการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 และเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว
วันที่ 25 ธันวาคม 2563: คาดการณ์สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในปี 2564 และสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในปี 2563
ภาวะตลาดน้ำมันดิบและคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบปี 2564
ในปี 2564 คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 45 - 55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังตลาดคาดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มคลี่คลาย และกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันโลกมีแนวโน้มขยายตัวที่ 5.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน (สำนักงานพลังงานสากล-IEA รายงาน ณ เดือนธันวาคม 2563) ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ร้อยละ 5.2 (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ-IMF รายงาน ณ เดือนตุลาคม 2563)
โดยเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะฟื้นตัวมาจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา รวมทั้งการผ่อนปรนมาตรการควบคุมพื้นที่เพื่อจำกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ การพัฒนาวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 มีความคืบหน้าไปในทิศทางที่ดี โดยข้อมูลล่าสุดบริษัท Pfizer-BioNTech และบริษัท Moderna ได้รายงานผลการทดสอบวัคซีนต้านโควิด-19 ว่าให้ประสิทธิภาพการป้องกันไวรัสได้สูงมากกว่าร้อยละ 94
ทั้งนี้ ประเทศสหราชอาณาจักร แคนาดา และสหรัฐฯ ได้เริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ประชาชนแล้วเมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2563 ส่งผลให้ตลาดเชื่อมั่นมากขึ้นว่าความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวได้จริง หากวัคซีนให้ประสิทธิภาพที่ดีและมีเพียงพอต่อประชากรทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบในปี 2564 ยังถูกกดดันจากอุปทานน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรมีแผนปรับลดกำลังการผลิตน้อยลงเพื่อสอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำมันที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยผลการประชุมของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรเมื่อวันที่ 3 – 4 ธันวาคม 2563 มีข้อตกลงปรับระดับการลดการผลิตจาก 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงธันวาคม 2563 ไปอยู่ที่ 7.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือนมกราคม 2564 และมีแผนการประชุมรายเดือนต่อไปเพื่อพิจารณาลดระดับการปรับลดกำลังการผลิตตามความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัว ขณะที่ อุปทานน้ำมันจากประเทศนอกกลุ่มโอเปก เช่น ประเทศนอร์เวย์และบราซิล มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นราว 0.53 ล้านบาร์เรลต่อวัน เช่นกัน
สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบปี 2563
ราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2563 เฉลี่ยที่ระดับ 42 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลงจากราคาเฉลี่ยในปี 2562 ที่ระดับ 64 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งการบริโภค การลงทุน รวมถึงการผลิตและการส่งออก ทำให้เศรษฐกิจหลายประเทศทั้งในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาเข้าสู่สภาวะถดถอย โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2563 หดตัวที่ร้อยละ 4.4 (รายงาน ณ เดือนตุลาคม 2563) ซึ่งต่ำกว่าในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลก (The Great Depression) ในปี 2473 ที่เศรษฐกิจโลกหดตัวที่ร้อยละ 4.3
โดยเศรษฐกิจที่อ่อนแอส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการใช้น้ำมันโลก ซึ่งสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันโลกในปี 2563 หดตัวที่ระดับ 8.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่เติบโตประมาณ 1.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน (รายงาน ณ เดือนธันวาคม 2563) ประกอบกับ ตลาดยังถูกกดดันจากการปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบจากประเทศลิเบีย หลังบริษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบียกลับมาเปิดดำเนินการแหล่งผลิตน้ำมันดิบและท่าส่งออกน้ำมันอีกครั้งเนื่องจากบรรลุข้อตกลงระหว่างรัฐบาลและกลุ่มผู้ขัดแย้ง
โดยปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของลิเบียปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 0.12 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงกันยายน 2563 มาแตะที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2563 นอกจากนี้ ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังทั้งบนเรือ (Floating) และบนบก (on shore) อยู่ในระดับสูงมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยปริมาณน้ำมันดิบคงคลังบนบกทั่วโลก ณ เดือน พฤศจิกายน 2563 สูงกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 300 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากการร่วมมือปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรที่ระดับ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม 2563 และที่ระดับ 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงธันวาคม 2563 ซึ่งถือว่าช่วยรักษาสมดุลตลาดน้ำมันไม่ให้อุปทานโลกล้นตลาดมากนัก
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ