- Details
- Category: ขายตรง
- Published: Thursday, 31 July 2014 22:29
- Hits: 3450
เอเชียสุพรีม ดิ้นสู้ครึ่งปีหลังบุกขายตรงตลาดออนไลน์
บ้านเมือง : สุภพงษ์ เทียนสี/รายงาน
เอเชียสุพรีม รับครึ่งปีแรกปัจจัยภายนอกกกระทบยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า เร่งปรับยุทธวิธีเข้าสู้ งัดกลยุทธ์ขายตรงออนไลน์ เปลี่ยนมุมตลาดขายตรงแบบเดิม ฉีกแนวสู่การขายผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คเต็มรูปแบบ เน้นสร้างเครื่องมือช่วยนักขายทำงานได้ง่ายแม้ไม่มีทักษะผ่านโรงเรียนสอนธุรกิจออนไลน์ สิ้นปียังรั้งเป้า 500 ล้านบาท หวังโมเดลธุรกิจใหม่ดันยอดตามเป้าหมาย
นายจัตตุรงค์ จันทะโน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชียสุพรีม จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ธุรกิจชายตรงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ เช่น การเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้ยอดขายต่ำกว่าเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ ประกอบกับช่วงนี้โมเดลของธุรกิจขายตรงได้เปลี่ยนไปจากในอดีต จากเดิมที่ขายตรงเน้นหาสมาชิก หาผู้บริโภคที่มีการซื้อซ้ำ ส่วนบริษัทขายตรงเกิดขึ้นมาใหม่มากมาย คนมุ่งแต่สปอนเซอร์คนเข้าสู่ธุรกิจขายตรงเอง ทำให้ขายตรงมีค่าเฉลี่ยต่อหัวลดลงจากเดิมมากอยู่ที่ 1,000 บาท ต่อคนต่อปีเท่านั้น
"ครึ่งปีแรกบริษัทเองได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภายนอก ทำให้ในครึ่งปีหลังจะเห็นว่ามีบริษัทปิดตัวเองไป ทั้งที่เป็นบริษัทใหม่และบริษัทที่ทำธุรกิจมานาน ซึ่งธุรกิจที่จะอยู่ได้จะต้องมีการปรับตัว ใช้คนให้น้อยลง เพิ่มประสิทธิภาพให้การทำงานที่มากขึ้น เอเชีย สุพรีม มีความเข้าใจถึงโมเดลธุรกิจที่มีความเปลี่ยนไป เรามีการออกแบบโปรแกรมใหม่ๆ ออกมมาใช้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้"
นายจัตตุรงค์ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทต้องปรับมาสู่ทิศทางของการเพิ่มประสิทธิภาพของคน ในการเพิ่มยอดขายต่อหัวให้มากขึ้น จากเดิมที่มีค่าเฉลี่ยต่อคนต่อปีอยู่ที่ 1,000 บาท โดยอาศัยเครื่องมือ โซเชียลเน็ตเวิร์คที่จะเข้าถึงคนได้มากขึ้น เช่น เฟซบุ๊ค ยูทูบ เป็นต้น
"ทิศทางครึ่งปีหลังมีการเตรียมการคือ การออกโปรแกรมใหม่ในการฝึกอบรม การเชิญชวนผู้คนจะไม่ใช่แค่เข้ามาจำหน่ายสินค้า แต่บริษัทมีการพัฒนาเครื่องมือต่างๆ เพื่อรองรับการทำธุรกิจบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค และในการเชิญชวนผู้คนไม่ได้เชิญแค่เข้ามาเป็นสมาชิกแล้ว เชิญเขามาเพื่อเมาเป็นนักธุรกิจ โดยใช้วิธีการสอนการทำธุรกิจออนไลน์ โดยเราจะเริ่มต้นเดือนที่จะถึงนี้แล้ว และก็เตรียมเครื่องมือใหเลย คือคุณจะได้วิธีการและได้มาร์เก็ตติ้งทูลในการทำธุรกิจบนโลกโซเชียลทั้งหมด โดยสิ่งที่สมาชิกจะได้คือเครื่องมือในการทำธุรกิจเลยบนโลกออนไลน์ โดยเรามีดัชนีชี้วัดคือ ยอดขชายต่อคสจะต้องเพิ่มขึ้น 500 เปอร์เซ้นต์ ต่อคน เพราะถ้าอย่างนั้นหมายถึงค่าเฉลี่ยนค่อคนจะมีรายได้ 5,000 บาทฉะนั้นทุกคนจะอยู่ได้คอมมิสชั่นจะได้มากกว่า 2,000 บาท โดยที่ไม่ต้องสปอนเซอร์เยอะ แต่เน้นการสร้างรายได้มากกว่า นั่นคือโฟกัสใหม่ที่เราวางไว้"
นายจัตุรงค์ กล่าวต่อว่า การที่บริษัทหันมาเน้นการใช้เครื่องมือผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค นั่นหมายถึงคนที่เคยทำขายตรงออฟไลน์ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน เช่น บริษัทมีร้านค้าออนไลน์ แต่สมาชิกทั้งหมดจะเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์นี้คงเป็นไปไม่ได้ แต่บริษัทมีการจัดทำเป็นลิงค์พิเศษที่สมาชิกสามารถเอาลิงค์ตรงนี้ไปโปรโมทในโซเชียลของตนเอง บริษัทจะมีศูนย์กลางข้อมูลให้ โดยเอาการจัดทำเป็นลิงค์พิเศษที่สมาชิกสามารถเอาลิงค์ตรงนี้ไปโปรโมทในโซเชียลของตนเอง บริษัทจะมีศูนย์กลางข้อมูลให้ โดยเอาข้อมูลต่างๆ ใส่เข้าไป สมาชิกสามารถดึงข้อมูลเข้าไปใช้ในโซเชียลของตัวเอง หากมีการคลิกลิงค์พิเศษเข้ามาระบบจะโยงมาสู่บริษัททันที
"บริษัทจะทำหน้าที่ปิดการขาย รับออร์เดอร์ ส่งของให้ รับเงินให้ลูกค้า ส่วนคอมมิสชั่นจะโอนเข้าสู่สมาชิก คือเรียกว่าทำงานแทนสมาชิก สมาชิกแค่ทำตลาด คือแทนที่จะเอาเวลาไปนั่งปิดการขาย วิ่งหาลูกค้าที่มีต้นทุนสูง เจอลูกค้าน้อย เปลี่ยนมาเป็นวิธีนี้ ได้เจอลูกค้าได้มากขึ้น มีระบบทำงานแทน
ส่วนสมาชิกที่เริ่มขายเก่งแล้ว อยากรีครูทคนเข้ามา การรีครูทคนมาเป็นนักขายโดยตรงอาจจะได้รับความสนใจเท่าที่ควร แต่ถ้ารีครูทมาสู่โรงเรียนธุรกิจออนไลน์ มาที่เราฝึกอบรมให้ก่อน ใครที่จบหลักสูตร เราจึงจะให้เครื่องมือเหล่านี้ไปทำงาน นี่คือทิศทางใหม่ที่บริษัทเริ่มพัฒนา ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ให้การตอบรับที่ดีมาก"
ที่ผ่านมาการเปิดโรงเรียนสอนธุรกิจออนไลน์ นอกจากจะได้รับความสนใจจากสมาชิกใหม่แล้ว สมาชิกเก่าที่ทำงานออฟไลน์มาโดยตลอด และมีข้อจำกัดเรื่องการใช้เทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน เมื่อเข้าสู่ระบบการสอนนี้แล้ว กลับสามารถสร้างประสิทธิภาพการทำงานในโลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดี
กรรมการผู้จัดการ กล่าวอีกว่า บริษัทมีจุดเด่นคือสินค้เป็นที่รู้จักแล้ว สองคือบริษัทมีเครื่องมือที่ง่าย เมื่อเกิดการซื้อขายสมาชิกไม่ต้องยุ่งยาก เพราะกระบวนการหลังบ้าน บริษัทเป็นคนทำแทนทั้งหมด ทำให้สมาชิกมีเวลาไปรีครูทคนเข้าสู่ธุรกิจ ทุกวันนี้หากมองขายตรงทั่วๆ ไปทุกบริษัทมีสินค้ากับแผนการตลาดเหมือนๆ กันหมด แต่จะมีอะไรที่เป็นจุดขายที่ทำให้คนรู้สึกว่าเวลาไปนำเสนอแล้วสามารถดึงดูดได้ง่ายขึ้น ธุรกิจออนไลน์จึงตอบโจทย์ในยุคปัจจุบัน โดยคนไม่ต้องมีความรู้มากมายก็สามารถเริ่มธุรกิจได้ จากนั้นจึงพัฒนากลุ่มคนที่เข้าสู่ธุรกิจเหล่านั้นมาเป็นผู้นำต่อไป
สำหรับนโยบายด้านสินค้า กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ในการทำตลาดออนไลน์ให้ได้ผล การใช้สินค้าหลายตัวจะลำบากในการทำตลาด เพราะการทำมาร์เก็ตติ้ง โปรดักท์ ต้องใช้งบประมาณมาก ดังนั้นบริษัทจึงยืนตลาดในโปรดักท์ที่มีความแข็งแรงอยู่แล้วโดยเฉพาะโคลอสตรุม ซึ่งเน้นกลุ่มผู้บริโภควัยเด็กและวัยรุ่น
"เรามีสี่คำคือตลาดของผอม ขาว สูง ใส นี่คือเทรนด์ตลาดในอนาคตที่เราเน้นในโลกโซเชียล โดยเฉพาะตลาดสูง ที่เราเห็นคือไม่มีใครทำตลาดตรงนี้จริงจัง แต่โปรดักท์เราคือ โคลอสตรุม จะช่วยเรื่องความสูงได้ อันนี้เราจะโฟกัสตลาด สร้างแบรนด์ให้ดังบนโลกโซเชียล ให้คนได้รู้จักเยอะๆ เป็นนิวมาร์เก็ต สำหรับตลาดลดน้ำหนักที่จำหน่ายบนโซเชียล มีแบรนด์ดังๆ ไม่กี่แบรนด์ มูลค่าตลาดประมาณห้าพันล้านบาท ส่วนตลาดความสูงยังมีดีมานต์ซ่อนอีกเยอะ หากเทียบกับจำนวนประชากรวัยเด็ก วัยรุ่นกว่าสิบล้านคน จะมีมูลค่าตลาดไม่ต่ำกว่าห้าพันขึ้นไปแน่นอน ในกลุ่มนี้แต่ก่อนคือตลาดออฟไลน์ เราเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด เราจะมีโอกาสเป็นเจ้าตลาดได้ ช่วงแรกอาจยากเพราะเป็นการโปรโมท"
กรรมการผู้จัดการ กล่าวทิ้งท้ายว่า หัวใจสำคัญที่จะทำให้บริษัทไปสู่ความสำเร็จต้องอาศัย 4 องค์ประกอบ คืออย่างแรกต้องมีผลิตภัณฑ์ที่ตลาดบนโลกโซเชียลมีความต้องการก่อน สองคือต้องมีกระบวนการประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้ารู้จักสินค้าเหล่านี้ก่อน สามคือบริษัทต้องมีนักขายที่เข้าสู่ระบบฝึกอบรมให้สามารถเขาถึงลูกค้าและสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ สี่คือเครื่องมือที่เรียบง่ายเพียงพอ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีทักษะสูงก็สามารถทำได้ ทุกองค์ประกอบต้องประกอบกันทั้งหมดจึงจะตอบโจทย์
"สิ้นปีเราตั้งเป้า 500 ล้านบาท แต่ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เราเดินมาไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของเป้า ซึ่งเรายังคงตั้งเป้าเดิมไม่ลดเป้า ซึ่งเราหวังว่าโปรเจกต์ที่เราวางจะสร้างปาฏิหาริย์ได้ เราไม่ลดเป้าแต่เราปรับวิธีการไปหาเป้า อยากเชิญชวนท่านที่เดินเข้าสู่ธุรกิจออนไลน์ อยากเป็นเจ้าของโปรดักท์ดังๆ เรามีโรงเรียนสอนให้ เพียงเข้ามาเป็นสมาชิก จะได้เครื่องมือต่างๆ ไปใช้แบบฟรีๆ" กรรมการผู้จัดการ กล่าว