- Details
- Category: ขายตรง
- Published: Saturday, 25 April 2015 20:44
- Hits: 3189
เปิดมุมมอง 'สมชาย หัชลีฬหา' กม.ขายตรงใหม่คุมกำเนิดแชร์ลูกโซ่
บ้านเมือง : ธุรกิจเครือข่ายขายตรงถือเป็นหนึ่งธุรกิจที่สร้างงาน สร้างอาชีพให้ประชาชนได้มากมายกว่า 11 ล้านคน ของประชากรทั้งหมดของประเทศไทย แต่จากการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรงใหม่ พ.ศ. ... ที่ถูกร่างขึ้นมา เพื่อที่จะนำมาใช้ในการดูแล ควบคุมธุรกิจเครือข่ายขายตรงให้เข้มข้นเพิ่มมากขึ้น โดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) นั้น แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เพราะยังคงต้องมีการถกกันระหว่างสมาคมที่เกี่ยวข้องกันอีกหลายรอบ
ในปัจจุบันพบว่า ที่ผ่านมาจากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการเมืองและเกิดจากทุนนิยม ทำให้คนเอารัดเอาเปรียบหลอกลวง เอาภาพที่มองว่าสวยหรูมาหลอกล่อผู้คนในชาติมีการเล่นสิ่งที่เรียกว่า'แชร์ลูกโซ่' บางกรณีบริษัทขายตรงบางแห่งมีการบิดเบือน และมีการเปลี่ยนแปลงบริบทของตัวเองและกลายพันธุ์เป็นแชร์ลูกโซ่ ที่ขึ้นกับวิจารณญาณ และเกิดจากความไม่สุจริตในการประกอบธุรกิจ และบางแห่งมีเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมด้วยหรือเป็นเพราะอาศัยธุรกิจขายตรงมาบังหน้ากอบโกยผลประโยชน์จากสังคม
ทางทีมข่าวขายตรง 'บ้านเมือง' มีโอกาสสัมภาษณ์'ดร.สมชาย หัชลีฬหา' นายกสมาคมพัฒนาการขายตรงไทย (TSDA) ถึงกรณีดังกล่าวนี้ โดยได้ให้ความคิดเห็นว่า สำหรับในเรื่องกฎหมายคงมีความคิดเห็นของแต่ละฝ่ายที่ต่างกัน บางอย่างก็มีการสนับสนุนกัน ซึ่งก็เป็นประโยชน์ ตนเชื่อว่าในเรื่องกฎหมายขายตรงที่มีการตกผลึกแล้ว จะเป็นประโยชน์สูงสุด บางอย่างก็ขจัดอุปสรรคที่มาทลายธุรกิจขายตรง และอีกอย่างก็อะไรที่สามารถสนับสนุนได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ที่มีข้อเสนอที่มีตุ๊กตาที่มาตั้งกันว่าจะทำโน้นทำนี่ ต้องมาดูกันว่าข้อประโยชน์หรืออุปสรรคอันไหนมากกว่ากัน มีการเปิดกว้างไม่บังคับเกินไป ต้องมีการเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาและมีการทำอะไรที่เกิดขึ้น ผมคิดว่ามุมมองที่หลายคนที่มองมาก็อาจจะทำให้ภาครัฐนำไปพัฒนาต่อ
"ผมเชื่อว่ากฎหมายใหม่ที่ออกมานี้จะช่วยป้องกันในเรื่องของธุรกิจขายตรงที่สุ่มเสี่ยงเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ ให้หันกลับมาทำธุรกิจได้อย่างถูกกฎหมาย แต่ถ้าบริษัทที่หวังจากมากอบโกยหรือหาผลประโยชน์ ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้ หรืออาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ว่าอาจจะอยู่ไม่นานก็จะต้องโดนจับกุมเหมือนกับบริษัทยูฟันฯ ที่กำลังโดนอยู่ ณ ขณะนี้"
ปัจจุบันผู้ขายตรงที่ถูกกฎหมายคือกลไกที่สำคัญที่จะนำเอาสิ่งเลวร้ายไปสู่ประชาชนโดยที่ประชาชนไม่รู้ เนื่องมาจากผู้จำหน่ายอิสระแทนที่จะขายสินค้าของบริษัทตัวเอง แต่ในปัจจุบันกลับไมใช่ หันไปโฆษณาชวนเชื่อด้วยการลงทุนแทนการขายสินค้า กลายเป็นว่าผู้จำหน่ายอิสระ อาจจะไม่เข้าใจและเกิดความโลภที่คิดว่ารายได้ดีกว่าที่จะไปขายสินค้า กลายเป็นเครื่องมือกลไกในการหลอกลวงประชาชน ทาง สคบ.จึงต้องติดปัญหาเพิ่มความรู้ให้ผู้จำหน่ายอิสระก่อน ส่วนในเรื่องของความผิดเป็นเรื่องความผิดหลักการ
สำหรับ พ.ร.บ.การขายตรง 2545 ตัวกฎหมายที่เป็นจุดอ่อนในการเอาผิดก็อยู่ระหว่างการแก้ไขปรับปรุง และมีการเสนอไปทาง คสช.แล้ว ส่วนเรื่องแชร์ลูกโซ่ เป็นความผิด พ.ร.ก.การกู้ยืมเงิน ฐานฉ้อโกงประชาชน ผิดกฎหมายอาญา กฎหมายการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ ธปท.และหน่วยงานที่ต้องเข้ามาทำงานร่วมกับ สคบ.ในเรื่องดังกล่าวก็จะมี อาทิ ดีเอสไอ, ป.ป.ง. และอีกหลายหน่วยงานที่ สคบ.จะต้องมาหารือเพื่อบูรณาการในทุกด้านด้วย
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้เรียก สมาคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเครือข่ายขายตรง ซึ่งประกอบไปด้วย สมาคมการขายตรงไทย (TDSA), สมาคมพัฒนาการขายตรงไทย (TSDA), สมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย สมาคมนักธุรกิจอิสระ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติขายตรง และตลาดแบบตรงใหม่ เพื่อนำเสนอความคิดเห็นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้นำเสนอหัวข้อเรื่องต่างๆ ซึ่งมีอยู่ 3 หัวข้อหลักคือ 1.ร่างพระราชบัญญัติขายตรง และตลาดแบบตรง พ.ศ. ...ขณะนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว แต่ สคบ. เห็นควรให้มีการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม 2.ร่างประกาศคณะกรรมการการขายตรงและตลาดแบบตรง ว่าด้วยลักษณะแผนการจ่ายผลตอบแทนของผู้ประกอบธุรกิจขายตรง และอัตราค่าธรรม เนียมการสมัครเข้าเป็นสมาชิกในธุรกิจขาย ตรง พ.ศ. ... และ 3.สืบเนื่องมาจาก สคบ. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคจำนวนมาก ซึ่งได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากผู้ประกอบธุรกิจขายตรงและธุรกิจแบบตรง ทำให้สมาคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายตรง และตลาดแบบตรง ควรมีบทบาท หรือแนวทางในการควบคุมดูแลสมาชิกของตน เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีการร้องเรียนที่เกิดขึ้น
สำหรับกฎหมายขายตรงฉบับใหม่ได้มีข้อกำหนดอยู่ 9 ข้อ เพื่อป้องกัน คือ 1.การกำหนดให้บริษัทต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เช่น บริษัทที่ทุนจดทะเบียนต่ำก็สามารถทำธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย มีจริยธรรม สร้างอาชีพให้คนไทยได้ ซึ่งการกำหนดให้ต้องมีทุนจดทะเบียนสูง อาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก ที่อาจต้องปิดกิจการ 2.องค์ประกอบและที่มาของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง คุณสมบัติ ที่มาอาจไม่โปร่งใส สัดส่วนผู้จำหน่ายอิสระไม่เหมาะสม 3.การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง เสนอให้ตัดมาตราที่ว่าด้วยการรับผิดชอบงานธุรการของคณะกรรมการบริหารกองทุน 4.การแจ้งย้ายสำนักงานและส่งรายงานการประกอบธุรกิจขายตรงต่อนายทะเบียน แต่การย้ายสำนักงาน เสนอให้แจ้งภายใน 30 วัน จากที่กำหนดไว้ 15 วัน และการจัดส่งรายงาน เสนอว่าควรเป็นปีละ 1 ครั้ง เพื่อความยืดหยุ่น เพื่อให้นายทะเบียนมีเวลาตรวจสอบเพียงพอ ลดภาระผู้ประกอบการ 5. การเปลี่ยนการยื่นคำขอจดทะเบียน การประกอบธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง เป็นการยื่นคำขออนุญาต โดยใบอนุญาตมีอายุแค่ 2 ปี จากนั้นต้องต่ออายุ เสนอให้การต่อใบอนุญาตครั้งที่สองมีอายุ 2 ปี 5 ปี ครั้งที่สามเป็นต้นไป 10 ปี
6.การวางหลักประกันเพื่อขอใบอนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท เพื่อป้องกันการทำผิดกฎหมาย เช่น การวางหลักประกันไม่ได้เป็นแนวทางที่แท้จริงในการแก้ปัญหา รวมถึงแชร์ลูกโซ่ อีกทั้งอาจมีการใช้จุดนี้ไปอ้างจนหลอกลวงได้ง่ายยิ่งขึ้น 7.มาตรการควบคุมมิให้มีการโอนสิทธิในใบอนุญาต เช่น ควรจะให้สิทธิโอนใบอนุญาตแก่ทายาทได้ การมอบมรดกแก่ทายาทโดยชอบธรรมไม่ควรจะถูกจำกัด และเสนอตัดเนื้อหาที่จำกัดสิทธิในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคลผู้รับอนุญาต
8.การตั้งกองทุนธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง เพื่อเยียวยาความเสียหายผู้บริโภค ผู้จำหน่ายอิสระที่ถูกละเมิดจากผู้ประกอบธุรกิจ เช่น อาจเกิดความไม่โปร่งใส เพราะไม่ได้เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมาย มิได้เป็นการแก้ปัญหาแชร์ลูกโซ่อย่างแท้จริง มิได้เป็นการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง ในทางตรงข้าม กลับแสวงหาผลประโยชน์จากผู้ประกอบธุรกิจ 9.การตั้งองค์กรส่งเสริมอาชีพธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง เป็นองค์กรภาคเอกชนที่ควบคุมกันเอง โดยเหตุผลก็เช่นหน้าที่นี้ควรเป็นของรัฐ มีการกำหนดให้ต้องให้ข้อมูลผู้จำหน่ายอิสระกับองค์กรฯ ซึ่ง อาจขัดกฎหมาย-ละเมิดสิทธิส่วนตัว การกำหนดให้ผู้จำหน่ายอิสระต้องสอบขึ้นทะเบียน สร้างข้อจำกัดให้การประกอบธุรกิจขายตรงโดยไร้เหตุผล และอาจมีการใช้จุดนี้แอบอ้างหลอกลวงด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้มีบริษัทขายตรงที่ไม่ได้เข้าอยู่ในสมาคมมากมาย แน่นอนการเข้ามาในสมาคมเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะจะได้มีการพูดคุยกันระหว่างสมาชิกสมาคมด้วยกัน มีการว่ากล่าวตักเตือนเมื่อได้กระทำที่ส่องไปในทางที่ผิดได้ ดังนั้นสมาคมจะต้องตรวจสอบกันเองก่อนที่จะให้ทางภาครัฐเข้ามาตรวจสอบ