- Details
- Category: ขายตรง
- Published: Thursday, 09 October 2014 22:24
- Hits: 3352
'สมชาย' ไขก๊อกที่ปรึกษา สคบ.
บ้านเมือง : จากกรณีที่'ดร.สมชาย หัชลีฬหา' ได้เป็นคณะกรรมการว่าด้วยโฆษณา และเป็นที่ปรึกษาในหน่วยงาน สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และ 'นายอนุวัฒน์ ธรมธัช'อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้ามาทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการว่าด้วยฉลากนั้น ได้สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก เมื่อมีอดีต ส.ว.สมุทรปราการ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวที่ใช้ชื่อว่า 'Boonyuen Siritum'เกี่ยวกับความไม่เหมาะสมในการแต่งตั้งดังกล่าว และมีสื่อบางฉบับลงข่าวว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกันหรือไม่?
จนส่งผลให้'นายอำพล วงศ์ศิริ'เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แถลงแก้ข่าวกรณีตั้ง 'ดร.สมชาย'เจ้าของ บริษัทขายตรง จอยแอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และอยู่ในตำแหน่งนายกสมาคมพัฒนาการขายตรงไทย โดยเป็นที่ปรึกษาพร้อมนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) ที่มี'พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว'รมว.การ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และหัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ กำกับดูแลสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้อนุมัติและเซ็นคำสั่งแต่งตั้ง'ดร.สมชาย' เป็นคณะกรรมการว่าด้วยโฆษณา พร้อมแต่งตั้งที่ปรึกษา'นายอนุวัฒน์ ธรมธัช'เข้ามาทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ซึ่งคณะกรรมการทั้งสองชุด มีหน้าที่ตามที่กำหนดใน พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522
ทั้งนี้'นายอนุวัฒน์' มีตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารจัดการทั่วไป บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท จอยมาร์ท จำกัด ทำธุรกิจขายตรงผลิตภัณฑ์อาหารและอื่นๆ อีกหลายประเภท ทำให้ถูกมองว่ามีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรงนั้น
โดยเลขาธิการ สคบ. ได้แจงว่าไม่เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน หรือขัดแย้งธรรมาภิบาล แต่เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย จะขอให้ลาออกจากกรรมการ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค แต่ยังคงให้ เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวต่อไป เหตุต้องการใช้ประสบการณ์ให้เป็นประโยชน์ในวงการขายตรงต่อไป
ดังนั้น'ดร.สมชาย หัชลีฬหา' และ'นายอนุวัฒน์ ธรมธัช'ในฐานะ
คนที่ถูกพาดพิงถึง จึงได้ออกโรงแจงข้อข้องใจในกรณีดังกล่าว โดย'ดร.สมชาย'ได้เปิดเผยว่า การที่ได้เข้าไป เพื่อให้ขายตรงมีการพัฒนากฎหมายร่วมกัน เพื่อให้คนใน สคบ. ได้เข้าใจขายตรงมากขึ้น และอยากให้เป็นที่ยอมรับ แต่พอเข้าไปไม่ได้คุยเรื่องขายตรงเลย เพราะว่าได้มีโอกาสไปเจอหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้ ซึ่งเป็นงานคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนมามาก ผมจึงพยายามแก้ปัญหาตรงนั้น เพื่อให้เป็นศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ ให้มีคนรับช่วงต่อในกรณีที่มีคนร้องเรียนมา ให้มีคนรับช่วงต่อ จากนั้นก็ได้เอาทุกอย่างมารวมกัน ทั้ง อย. สคบ.ปคบ.สมอ. คือทั้งหมด 20 กรมด้วยกัน
"ผมจึงได้เสนอไปว่าจะทำแอพพิเคชั่นขึ้นมา ก็ได้ไปเสนอท่าน ซึ่งท่านก็บอกว่าดี และได้พูดคุยกับท่านอดุลย์ ท่านก็บอกให้รีบทำเลย เพื่อให้เกิดบูรณาการ ก็จะมีตัวเลข 13 หลัก กรองข้อมูลเข้าไปก็ขึ้นมาเลยว่าร้องเรียนอะไร จากนั้นข้อมูลก็จะลิงค์เข้ากรมปกครองว่าใครเป็นผู้ร้อง ทั้งการร้องเรียน การแจ้งเบาะแส การตรวจสอบผู้ประกอบการ โดยจะลิงค์ไปกับกรมพัฒนาธุกิจการค้า ซึ่งก็เชื่อมโยงมาถึงเรื่องขายตรงว่าบริษัทที่ได้จดทะเบียนถูกต้องไหม ก็คาดว่าจะใช้งานตุลาคมนี้ แต่พอมาเกิดเหตุการณ์นี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะสานต่อยังไง เพราะผมเป็นคนคิดและอาสาเองทั้งหมด
ส่วนที่ผ่านมาผมก็เดินสายไปกับ สคบ.ไปต่างจังหวัด เพื่อไปอบรมระบบ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัด มีช่องทางร้องเรียน สคบ.ผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้สะดวกขึ้น ซึ่งได้ค่าบรรยายต่อครั้งได้ 3,600 บาท แต่ในการเดินทางบางครั้งผมก็ไปกับหน่วยงานหรือบินไปเอง เช่าโรงแรมเอง ยกเว้นค่าอาหารมีจัดให้ ต้องบอกเลยว่า 1 เดือนมานี้ทำเรื่องแอพฯ อย่างเดียว ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย ก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อย เพราะเราตั้งใจทำตรงนี้ได้แทรกแซงในเรื่องขายตรงเลย เพียงต้องการส่งเสริมอาชีพธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง ให้ความมั่นคงในอาชีพผู้จำหน่ายอิสระ และเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบธุรกิจเท่านั้นเอง"
อย่างไรก็ตามทั้ง'ดร.สมชาย' ได้ลาออกจากเป็นคณะกรรมการว่าด้วยโฆษณา แต่คงไว้ในตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนตัวของเลขาธิการ สคบ.ตำแหน่งเดียว และ'นายอนุวัฒน์'เป็นประธานคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ได้ลาออกจากตำแหน่งดังกล่าวแล้ว